เปิดหมายตั้งพนง.ยึดทรัพย์13พันธมิตรฯชดใช้744ล.ศาลให้ทอท.พาชี้เป้า-เหตุไม่ปฏิบัติตาม!
"... ศาลแพ่ง ได้มีหมายถึงเจ้าพนักงานบังคับคดี ระบุว่า ด้วยคดีนี้ ทอท. ในฐานะโจทก์ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง13 ราย ร่วมกันชำระเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่3 ธ.ค.2551 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยทั้ง 13 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ รวม 597,847 บาท (ค่าทนายความในศาลชั้นต้น และชั้นอุทธรณ์รวม 110,000 บาท) แทนโจทก์ แต่จำเลยทั้ง13ไม่ปฏิบัติตาม..."
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ทำหนังสือแจ้งถึงพล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล , นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี , นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายสำราญ รอดเพชร, นายศิริชัย ไม้งาม, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี 13 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ให้ร่วมกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.2551 ให้แก่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (นับรวมดอกเบี้ยจะอยู่ที่วงเงิน 744ล้านบาท) รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ จำนวน 597,847 บาท ภายหลังจากศาลแพ่ง มีคำพิพากษาให้บุคคลทั้ง 13 ราย ชำระหนี้ตามกฎหมาย จากคดีปิดยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อประท้วงรัฐบาลและขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ทำให้การให้บริการต่างๆ ภายในท่าอากาศยานทั้งสองต้องหยุดลง ในช่วงเดือนก.ย.2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในหนังสือระบุว่า หากไม่ดำเนินการ ทอท. จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดอายัดทรัพย์ เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ทอท.ต่อไป (อ่านประกอบ : ขู่ยึดทรัพย์13 แกนนำพันธมิตรฯ! อัยการฯโนติสชดใช้หนี้คดีปิดสนามบิน744ล.บวกค่าทนาย5แสน )
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 สำนักงานอัยการสูงสุด จะทำหนังสือแจ้งถึงแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 13 ราย ให้ร่วมกันชำระหนี้พร้อมค่าทนายความให้กับ ทอท.ดังกล่าว
ศาลแพ่ง ได้มีหมายถึงเจ้าพนักงานบังคับคดี ระบุว่า ด้วยคดีนี้ ทอท. ในฐานะโจทก์ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง13 ราย ร่วมกันชำระเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่3 ธ.ค.2551 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยทั้ง 13 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ รวม 597,847 บาท (ค่าทนายความในศาลชั้นต้น และชั้นอุทธรณ์รวม 110,000 บาท) แทนโจทก์ แต่จำเลยทั้ง13ไม่ปฏิบัติตาม
เพราะฉะนั้น จึงตั้งให้ท่านเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดอายัดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือทำการอื่นใดโดยอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ในการนี้ ทอท. จะเป็นผู้นำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้ง13 ราย (ดูเอกสารประกอบ)
อย่างไรดี ก่อนหน้านี้ ในเดือน ก.ย. 2560 ที่ผ่านมา นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงคำสั่งศาลฎีกาที่ให้อดีตแกนนำพันธมิตรฯ 13 คน ชดใช้ค่าเสียหายแก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีร่วมกันปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 ว่า มีคำถามกันมาเยอะทั้งจากพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าอดีตแกนนำและจำเลยทั้ง 13 คนจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ด้วยแกนนำได้ยุติบทบาทแล้วทำให้การประสานงานทำได้ยากขึ้นเพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปในที่ต่างๆ
ผมในฐานะอดีตผู้ประสานพันธมิตรฯได้พยายามสอบถามความเห็นจำเลยบางส่วนและทีมทนายหลายท่าน มีประเด็นที่พอจะแจ้งให้สังคมทราบในเบื้องต้น ย้ำนะครับเป็นความเห็นเบื้องต้นเท่านั้นดังนี้
1.ในส่วนของจำเลยทั้ง 13 คนไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าสู่กระบวนการทางคดีหลังคำพิพากษาศาลฎีกาออกมา คือ ต้องรอทางการท่าอากาศยานฯ ในฐานะโจทก์เรียกคุยในฐานะเจ้าหนี้กับลูกหนี้ว่าจะชดใช้อะไรหรือไม่อย่างไร จะคุยกันไหม คุยแล้วจะได้ความไหมก็ยังไม่รู้
2.ขั้นตอนนี้คงต้องใช้เวลาสักระยะพอสมควร ถ้าไม่เป็นผล การท่าฯ ไม่พอใจ เขาก็จะร้องกรมบังคับคดีเพื่อดำเนินการสืบทรัพย์ ยึดทรัพย์จำเลย ถ้าไม่พอชำระอีก หรือไม่เป็นที่พอใจของการท่าฯ ก็สามารถดำเนินการฟ้องล้มละลายได้ต่อไป 2 ขั้นตอนนี้อยู่ที่การท่าฯเป็นคนเดินเรื่องในฐานะเจ้าหนี้ แต่ในฐานะจำเลย ก็มีความเห็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ บางส่วนบอกจะขอเจรจาจ่ายเท่าที่จ่ายได้ ตามกำลังความสามารถ เราไม่มี และไม่หนีแต่ก็น้อมรับคำพิพากษาศาล ซึ่งก็ขึ้นกับการท่าฯว่าจะยอมหรือไม่
ในขณะที่จำเลยบางท่าน บอกไม่ต้องทำอะไร ไม่มี ไม่หนี และไม่จ่าย ให้ฟ้องล้มละลายไปเลย เพราะเรายืนยันในความบริสุทธิ์ใจของเราว่ากระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ใช่เรื่องส่วนตัว อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่มาแรงมากๆ มีการเสนอตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาคดีนี้โดยการรับบริจาคจากผู้ร่วมอุดมการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขต่อด้วยกันมา เพื่อร่วมรับผิดชอบช่วยจำเลยทั้ง 13 คนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะยังมีอีก 2 คดีแพ่งคือ คดีที่วิทยุการบินเป็นโจทก์ฟ้อง 14 จำเลย 102 ล้านยังไม่รวมดอกเบี้ย ศาลแพ่งชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินให้จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหาย ขณะนี้อยู่ระหว่างศาลฎีกา
คดีที่การบินไทย เป็นโจทก์ฟ้องแพ่งจำเลย 36 คน เรียกค่าเสียหายอีก 575 ล้าน แต่คดีผู้พิพากษาท่านให้ชะลอเพื่อรอคดีอาญา (คดีก่อการร้าย) แต่ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ศาลท่านเรียกจำเลยไปสอบถามความคืบหน้าในคดีอาญา ฉะนั้นถ้าจะทำกองทุนระดมเงินกันจริงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเงินก้อนโตมากๆและเป็นภาระมวลชน ที่สำคัญก็มีความเชื่อว่าเราไม่ผิดจะยอมเสียเงินกันอีกทำไม จะฟ้องล้มละลายก็ว่าไปเลย เฉพาะคดีการท่า 522 ล้านรวมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีก็ตกไปประมาณ 867 ล้านบาทแล้ว
ทั้งหมดที่ผมประมวลมาก็เป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณากันให้ละเอียดเพราะแต่ละคดีล้วนเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามแนวทางข้างต้นคาดว่าคงได้ข้อยุติที่เป็นทางการเร็วๆนี้ครับ ผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีครับ
ส่วนผลจากนี้จะเป็นอย่างไร สาธารณชนคงต้องจับตาดูกันต่อไป แบบห้ามกระพริบตาโดยเด็ดขาด!