ก่อนเส้นตาย'เลือกตั้ง'!จับตาปี61คสช.ทิ้งทวนผลงานชิ้นโบว์แดงลุย40เมกะโปรเจกต์1.7ล้านล.
“...ในรัฐบาลชุดก่อนๆ ผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีเส้นสายเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่จะได้งานไปในสัดส่วนมากถึง 60-70% ของงานที่เปิดประมูลทั้งหมด งานหลายงานจึงล่าช้า แม้ว่าจะมีการว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นๆให้มารับเหมาช่วงทำต่อแล้วก็ตาม แต่พอมาถึงยุค คสช. เราจะเห็นได้ว่างานก่อสร้างภาครัฐถูกเกลี่ยไปให้ผู้รับเหมาเจ้าใหญ่ๆเกือบทุกเจ้าแบบว่า เกลี่ยๆแบ่งๆกันไป ข้อดี คือ งานจะเสร็จทันตามกำหนด แต่ตรงนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าไปจัดการหรือไม่...”
“ตู่ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.) ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีของเราที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง เพราะฉะนั้นขอให้ดำรงความมุ่งหมาย และเพื่อเติมกองหนุนให้มากขึ้นให้ได้ ตู่ทำได้ พวกเราทุกคนก็ทำได้ และกำลังทำกันอยู่”
นี่เป็นคำพูดบางช่วงบางตอนที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวระหว่างเปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ คณะรัฐมนตรี (ครม.) และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าเยี่ยมคารวะและอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2560 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ไปยังรัฐบาล คสช.และผู้นำเหล่าทัพ อย่างมีนัยสำคัญ ในช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ” ทางการเมืองของไทยอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเข้าอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2560
นั่นเพราะภายในปี 2561 ถือเป็น “เส้นตาย” ที่ คสช.จะต้องลงจาก “หลังเสือ” และเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งในช่วงเดือนพ.ย.2561 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศกร้าวไว้ หลังจากการเข้าควบคุมอำนาจมายาวนาน 4 ปีครึ่ง (พ.ค.2557-พ.ย.2561)
ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอกย้ำว่า ปี 2561 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็น “ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาล”
ดังนั้น หากพล.อ.ประยุทธ์ ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ โดยไม่มีการเลื่อนการเลือกตั้งไปเป็นปี 2562 เหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ นั่นก็หมายความว่ารัฐบาล คสช. จะมีเวลาบริหารประเทศแบบ “เบ็ดเสร็จ” อีกเพียง 1 ปี โดยเฉพาะการผลักดันการเปิดประมูลโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) หรือการลงทุนที่มีวงเงิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่านับล้านล้านบาท เพื่อฝากไว้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง
เบื้องต้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะมีการเปิดประมูลในปี 2561 พบว่า มีมูลค่าสูงถึง 1,720,799 ล้านบาท
ประกอบด้วย กลุ่มโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ.2559 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในช่วงปี 2559-2560 และเตรียมเปิดประมูลในปี 2561 จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม 264,007 ล้านบาท ได้แก่
1.งานโยธาโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา (รถไฟไทย-จีน) ช่วงที่ 2-4 วงเงินรวม 118,738 ล้านบาท แบ่งเป็นช่วงสีคิ้ว-กุดจิก วงเงิน 5,330 ล้านบาท ช่วงแก่งคอย-นครราชสีมา วงเงิน 57,905 ล้านบาท และช่วงบางซื่อ-แก่งคอย วงเงิน 58,932 ล้านบาท(ครม.มีมติอนุมัติโครงการวันที่ 11 ก.ค.2560)
2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง วงเงิน 44,157 ล้านบาท (ครม.มีมติอนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2559) และ3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) วงเงิน 101,112 ล้านบาท (ครม.อนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2560 วงเงินก่อสร้าง 101,112 ปรับลดจากกรอบวงเงินเดิมที่อยู่ที่ 128,135 ล้านบาท)
กลุ่มโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯพ.ศ.2560 ที่เตรียมเสนอครม.อนุมัติและเปิดประมูลในปี 2561 มีจำนวน 35 โครงการ วงเงินรวม 885,757 ล้านบาท (แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯ ปี 2561 มีทั้งสิ้น 36 โครงการ วงเงิน 895,757 ล้านบาท แต่เปิดประมูลไปแล้ว 1 โครงการ คือ โครงการรถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 10,239 ล้านบาท) โดยมีโครงการสำคัญๆ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ 13 เส้นทาง รถไฟฟ้า 5 โครงการ และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) 2 โครงการ เป็นต้น
ที่มา : กระทรวงคมนาคม ,มติคณะรัฐมนตรี ณ 29 ธ.ค.2560
กลุ่มโครงการที่อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมฯพ.ศ.2561 ที่เตรียมเสนอแผนให้ครม.อนุมัติและบางโครงการน่าจะเปิดประมูลในปี 2561 มีจำนวน 8 โครงการ วงเงิน 103,285 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวในการปาฐกถาเรื่อง "ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ" เมื่อกลางเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหลายโครงการ โดยวงเงินลงทุนที่รัฐบาลได้อนุมัติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีทั้งหมด 7.79 แสนล้านบาท และ ณ วันที่ 30 ก.ย.2560 มีการเบิกจ่ายค่างานไปแล้ว 24% ส่วนที่เหลือเป็นงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
“ในช่วงปี 2561 จะมีโครงการอยู่ระหว่างเตรียมการและเสนอให้ครม.อนุมัติ 17 โครงการ อยู่ระหว่างการเตรียมการประกวดราคา 10 โครงการ และในปัจจุบันนี้ถ้าเรารวมจะมีโครงการเมกะโปรเจกต์หรือการลงทุนที่มีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาทอยู่ 51 โครงการ เป็นโครงการในแอคชั่นแพลนปี 2559 วงเงิน 1.2 ล้านล้านบาท แอคชั่นแพลนปี 2560 วงเงิน 1.0 ล้านล้านบาท และแอคชั่นแพลนปี 2561 วงเงิน 1.03 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่”อาคมกล่าว
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม
สุดท้ายกลุ่มโครงการในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระบุว่าจะเร่งรัดให้เปิดประมูลเพื่อคัดเลือกเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน (พีพีพี) ในปี 2561 จำนวน 5 โครงการ วงเงินเบื้องต้นรวม 467,750 ล้านบาท
ได้แก่ 1.สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วงเงินเบื้องต้น 200,000 ล้านบาท 2.ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (TG MRO Campus) วงเงินเบื้องต้น 11,600 ล้านบาท 3.รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกช่วงกรุงเทพ-ระยอง วงเงินเบื้องต้น 158,000 ล้านบาท
4.ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงินเบื้องต้น 88,000 ล้านบาท และ 5.ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 วงเงินเบื้องต้น 10,150 ล้านบาท
ที่มา : คณิศ แสงสุพรรณ ปาฐกถาพิเศษ “อุตสาหกรรม ๔.๐ กับการลงทุนในพื้นที่ EEC Thailand 4.0” เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2560
“ปีหน้าทั้ง 5 โครงการจะมีการลงทุนจริง ภายในปีหน้าจะเห็นผู้ลงทุน ซึ่งโครงการทั้ง 5 โครงการเราก็เตรียมตัวว่าจะไฟแนนซ์อย่างไร วิธีไฟแนนซ์มีหลายอย่าง แล้วเราก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เราจะไม่ใช้งบประมาณรัฐมาลงทุน การที่จะทำ เราจะใช้เงินร่วมกับเอกชน ด้วย 2-3 สาเหตุ คือ 1.รัฐบาลมีเงินค่อนข้างจำกัด 2.โครงการพวกนี้เป็นโครงการที่มีผลประโยชน์ตอบแทน และ3.เงินในภาคเอกชนเยอะมาก ทั้งต่างประเทศทั้งในประเทศ เพราะฉะนั้นวิธีที่ชาญฉลาดสำหรับการลงทุนในโครงการพวกนี้ น่าจะเป็นการร่วมทุนเอกชน” คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กล่าวเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2560
คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลการประมูลงานก่อสร้างในโครงการต่างๆกว่า 7 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าผลการประมูลในยุครัฐบาล คสช. จะมีลักษณะแตกต่างจากรัฐบาลในอดีตมากพอสมควร นั่นก็คือ งานก่อสร้างจะถูกกระจายไปยังผู้รับเหมากันอย่างถ้วนหน้า ต่างจากรัฐบาลในอดีตที่งานส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่กับผู้รับเหมารายใหญ่ไม่กี่เจ้า
นักวิชาการที่ติดตามการประมูลงานก่อสร้างภาครัฐรายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตกับสำนักข่าวอิศราว่า “ในรัฐบาลชุดก่อนๆ ผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีเส้นสายเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่จะได้งานไปในสัดส่วนมากถึง 60-70% ของงานที่เปิดประมูลทั้งหมด งานหลายงานจึงล่าช้า แม้ว่าจะมีการว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นๆให้มารับเหมาช่วงทำต่อแล้วก็ตาม แต่พอมาถึงยุค คสช. เราจะเห็นได้ว่างานก่อสร้างภาครัฐถูกเกลี่ยไปให้ผู้รับเหมาเจ้าใหญ่ๆเกือบทุกเจ้าแบบว่า เกลี่ยๆแบ่งๆกันไป ข้อดี คือ งานจะเสร็จทันตามกำหนด แต่ตรงนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าไปจัดการหรือไม่”
ทั้งหมดนี้ เป็นรายละเอียดและข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ในช่วงก่อนเส้นตายเลือกตั้ง ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลคสช. ที่จะมีการ “ทิ้งทวน” ผลงานไว้ โดยการประมูลในช่วงปลายยุครัฐบาลคสช.ไม่ต่ำกว่า 40 โครงการ วงเงินกว่า 1.7 ล้านล้านบาท ที่สำนักข่าวอิศรา รวบรวมมาเสนอ ซึ่งหากการลงทุนทั้งหมด เกิดปัญหามีความไม่โปร่งใส่ขึ้น มีการตกๆหล่นๆเพียงแค่ 5-10% ก็คิดเป็นเม็ดเงินหลักหมื่นหลักแสนล้านบาทเลยทีเดียว
ในขณะที่ในช่วงเดือนมี.ค.ถึงกลางปี 2561 ก็ยังถือเป็นช่วงสำคัญไม่น้อย เพราะจะเป็นปีงบประมาณสุดท้ายที่รัฐบาล คสช.มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณประจำปี ซึ่งในงบประมาณปี 2562 คาดว่าจะมีกรอบวงเงินไม่ต่ำกว่า 2.9 ล้านล้านบาท
และหากจะมีใครกล่าวอ้างว่า ก่อนสิ้นยุครัฐบาล คสช. เพื่อเริ่มต้นการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะเรียกได้ว่า คสช. มีทั้ง “อำนาจ” และ “ลูกกระสุน” เพียบพร้อมที่สุด
ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดที่จะพูดแบบนั้น!
ดังนั้น ช่วงเวลานี้ จึงนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่รัฐบาล คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องให้ความระมัดระวังรอบคอบ มากที่สุด เพื่อให้การลงทุนทำโครงการต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ทิ้งทวนไว้ ฝากให้กับประชาชนได้ชื่นชม หลังการลาจาก อำนาจ ไป เมื่อถึงเวลาอันสมควร
ไม่ปล่อยให้บุคคลคนกลุ่มใดหน้าไหน เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้ ซึ่งมีที่มาจากเงินภาษีประชาชนโดยมิชอบ ซึ่งหากทำได้
"กองหนุน" ที่เคยห่างหายจากไป ก็จะกลับคืนมาดั่งเดิม และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นทวีคูณด้วย
เพราะโปรดอย่าลืม เมื่อท่านพูดคนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำคนจะเชื่อถือ และศรัทธา!