บช.ภ 4ลั่นเอาผิด DSI ไม่รอบคอบทำคดีครูจอมทรัพย์
บช.ภ4 เตรียมสรุปสำนวนส่งฟ้อง เอาผิดเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ หลังพบบกพร่องต่อหน้าที่จริง เหตุไม่รอบคอบในการตรวจสอบคดีปั้นพยานเท็จ 'ครูจอมทรัพย์'
จากกรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ ศรีบุญหอม อายุ 54 ปี อดีตครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร นายสุริยา หรือ ครูอ๋อง นวนเจริญ อายุ 54 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครูจอมทรัพย์ พร้อมพวกตกเป็นผู้ต้องหาในฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาลและซ่องโจรหลังพยานรื้อฟื้นคดีขับรถชนคนตายเมื่อปี 2548 แต่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานใหม่จึงพิพากษาให้ยกคำร้อง ทำให้มีหลายคนเข้าข่ายปั้นพยานเท็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องเร่งคลี่คลายไล่สอบสวนผู้เกี่ยวข้องทุกคนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษและกระทรวงยุติธรรมตามที่เสนอข่าวมาโดยตลอด
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 ( ศฝร.ภ.4) พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รองผบช.ภ.4 ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์ได้ประชุมการสรุปสำนวนสอบสวนเจ้าหน้าที่ของรัฐ(ดีเอสไอ) 14 คน ว่าที่ผ่านมาว่าเกี่ยวข้องในเรื่อง "ปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์" อย่างไร ภายหลังได้ข้อสรุปว่า "ดีเอสไอ" ที่เข้าข่ายความผิด 2 ประเด็น คือ การบกพร่องต่อหน้าที่ซึ่งเป็นการกระทำของหน่วยที่ต้องแจ้งให้หน่วยได้รับทราบถึงความไม่รอบคอบไม่ใช้ความสามารถในการสืบสวนข้อเท็จจริง จนเกิดความเสียหายก็จะต้องดำเนินการทางวินัยและพิจารณาโทษทางวินัยต่อไป ส่วนอีกประเด็นคือ การที่เจ้าหน้าที่มีหน้าที่แล้วไม่ทำซึ่งถือว่าละเว้นจะต้องแยกดำเนินการออกไป โดยน้ำหนักของการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอนั้นจะอยู่ในชุดที่ 2 เป็นหลัก โดยทั้ง 7 คน จะต้องถูกชี้มูลความผิดเพื่อให้ต้นสังกัดเอาผิดทางวินัยและ ตร.ภ.4 จะส่งเรื่องให้ ปปช.เอาผิดด้วย
"ภายในสัปดาห์นี้ เราจะสามารถจะสรุปเรื่องได้ทั้งหมดโดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงยุติธรรมและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กระทำการไม่รัดกุมรอบคอบ ต้องมีการสรุปสำนวนส่งไปทั้งหมดเพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้รับทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในการรื้อฟื้นในคดีปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์ มีผู้ต้องหาเป็นพลเรือน 11 คน และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 14 คน ขณะนี้ได้มีการสรุปสำนวนการสอบสวนแยกออกเป็นทีละคนแล้ว แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือในชุดที่ 2 ถือว่าเป็นชุดที่ออกปฎิบัติตามคำสั่งทุกคนต้องมีหน้าที่ในคำสั่ง ทุกคนต้องรู้ต้องมีหน้าที่ร่วมกันทำเพราะเป็นคำสั่งในรูปของคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นทั้งหมดต้องรู้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ลูกน้อง มีทั้งเลขา และคณะทำงานซึ่งทั้งหมดจะต้องมีการวางแผนงาน ที่ต้องมีการรายงานข้อมูลเป็นระยะจากนั้นจะรีบสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องต่ออัยการ จ.นครพนม ให้พิจารณาสั่งฟ้องศาลตามขั้นตอนต่อไปภายในสิ้นปี 2561" พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าว