8ปี3รบ.!ย้อนอภิมหากาพย์'ไฮสปีดจีน' ก่อนคสช.ได้ฤกษ์ตอกเสาเข็ม-ขาดทุนเพื่อชาติ5.9หมื่นล.
"...กว่าจะถึงวันนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา-หนองคาย ต้องใช้เวลาผลักดันกว่า 8 ปี และผ่านมาการพิจารณาของ 3 รัฐบาล ตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านมือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนมาได้ข้อยุติและเริ่มก่อสร้างในยุครัฐบาล คสช..."
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ 'ตอกเสาเข็ม' เป็นทางการเสียที
สำหรับโครงการรถไฟไทย-จีนเฟสแรก หรือโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 1.79 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟของไทยที่จะเชื่อมกับเส้นทาง “สายไหมใหม่” หรือ “One belt One road” ของจีน
โดยในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเป็นประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างงานโยธาช่วงที่ 1 กลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 425 ล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างโดยกรมทางหลวง
ส่วนการก่อสร้างอีก 3 ช่วง วงเงินรวม 1.19 แสนล้านบาท คือ งานโยธาช่วงที่ 2 สีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร ที่จะเริ่มก่อสร้างเดือนส.ค.2561 งานโยธาช่วงที่ 3 ช่วงแก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 119.5 กิโลเมตร ที่จะเริ่มก่อสร้างเดือนพ.ย.2561 และงานโยธาช่วงที่ 4 ช่วงบางซื่อ-แก่งคอย ระยะทาง 119.5 กิโลเมตร ที่จะเริ่มก่อสร้างเดือนม.ค.2562 นั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะเปิดประมูลและคัดเลือกผู้รับเหมาทั้ง 3 ช่วง โดยครม.กำหนดให้ว่าจ้างผู้รับเหมาไทยทั้งหมด
ในขณะที่งานจ้างออกแบบ จัดหา ติดตั้งระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ระบบรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งการจัดหาตู้รถไฟและการฝึกอบรมบุคลากร วงเงิน 38,558 ล้านบาทนั้น จะเป็นดำเนินการโดยฝ่ายจีน ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยมีแนวคิดที่จะเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมทุนในส่วนการลงทุนเดินรถและการบำรุงรักษาในรูปแบบภาครัฐร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP) และหากการดำเนินการโครงการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ คาดว่ารถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-นครราชสีมาจะเปิดให้บริการในเดือนธ.ค.2564
ทว่ากว่าจะถึงวันนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา-หนองคาย ต้องใช้เวลาผลักดันกว่า 8 ปี และผ่านการพิจารณาของ 3 รัฐบาล ตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านมือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนมาได้ข้อยุติและเริ่มก่อสร้างในยุครัฐบาล คสช.
เมื่อย้อนกลับไปดูที่มาที่ไป ก่อนที่จะเริ่มต้นก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-นครราชสีมา โครงการนี้เริ่มคิดกันมานานกว่า 21 ปีแล้ว โดยเมื่อเดือนก.พ.2539 รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา สั่งการให้ศึกษาการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทางเพื่อเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ สายเหนือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ,สายใต้ กรุงเทพ-หาดใหญ่ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพ-หนองคายและกรุงเทพ-อุบลราชธานี แต่แล้วโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทางก็มีอันต้องพับไป หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ฐานะการเงินของประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อสร้างโครงการระดับนี้
กระทั่งในอีก 13 ปีถัดมา คือ ในปี 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็สั่งเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงอีกครั้ง หลังจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้น ได้เดินทางไปเยือนจีนระหว่างวันที่ 16-23 ก.ค.2553 โดยจีนได้เสนอความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนาเส้นทางรถไฟเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพ-ชายแดนภาคใต้ และกรุงเทพ-ระยอง และเสนอให้ไทยดำเนินการในส่วนเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพ ระยะทาง 580 กิโลเมตรก่อน คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโครงการใช้เงินลงทุนสูงนับแสนล้านบาท ฝ่ายไทยและจีนจึงมีข้อตกลงร่วมกันที่จะจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ เพื่อลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย โดยฝ่ายไทยถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจ 51% และฝ่ายจีนถือหุ้น 49% และเตรียมจะลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU)
แต่ในที่สุดโครงการก็ต้องพับไปอีกครั้ง เมื่อมีการยุบสภาในปี 2554 ในขณะเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวว่าจีนยื่นข้อเสนอขอสิทธิ์ในการพัฒนาที่ดินข้างทางรถไฟความเร็วสูงข้างละ 2.5 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 50 ปี ทำให้ฝ่ายไทยและจีนตกลงกันไม่ได้
ต่อมาในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลได้ “ปัดฝุ่น” โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-หนองคายอีกครั้ง หลังจากนายสี จิ้น ผิง รองประธานาธิบดีจีนในขณะนั้น (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน) เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงวันที่ 22-24 ธ.ค.2554 และในช่วงกลางปี 2555 ทั้งสองฝ่ายได้บันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
จากนั้นเดือนมี.ค.2556 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้บรรจุโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย ความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วงเงินก่อสร้าง 1.7 แสนล้านบาท เป็นโครงการลงทุนแนบท้ายร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ... วงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ท่ามกลางข้อสงสัยเกี่ยวกับความไม่คุ้มค่าของโครงการ
สุดท้ายโครงการก็ไม่เกิด เพราะศาลรัฐธรรมนูญตีตกร่างพ.ร.บ.กู้เงินฯดังกล่าวในเดือนมี.ค.2557 จากนั้นไม่นานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ถูกทำรัฐประหารในเดือนพ.ค.2557
ที่มา : โครงการแนบท้ายร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ... วงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท และมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 19 มี.ค.2556
เมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลคสช. โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-หนองคาย ก็ได้รับการผลักดันอีกครั้ง หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปเยือนจีน เมื่อวันที่ 22-23 ธ.ค.2557 เพื่อเข้าร่วมประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS กับประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยครั้งนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้หารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงส่งเสริมความร่วมมือด้านรถไฟไทย-จีน
จากนั้นคณะทำงานฝ่ายไทยและจีน ได้เจรจาร่วมกัน 18 ครั้ง นานกว่า 2 ปีเพื่อผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย โดยได้ข้อสรุปว่าจะก่อสร้างช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมาก่อน และเพิ่มความเร็วของรถไฟจาก 160-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วงเงินลงทุน 1.79 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 100%
ในขณะที่การเจรจา 18 ครั้งที่ผ่านมามีอุปสรรคมาโดยตลอด เช่น สัดส่วนการร่วมลงทุนที่ตกลงกันไม่ได้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จีนเสนอสูงกว่า 3% แต่ฝ่ายไทยต้องการดอกเบี้ยไม่เกิน 2% และ code วัสดุก่อสร้างที่ต้องปรับเปลี่ยนจาก code ของจีนมาเป็น code ของฝ่ายไทยและสากล เป็นต้น ทำให้การเริ่มต้นก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจากต้นปี 2559 มาเป็นปลายปี 2560
อย่างไรก็ดี แม้ว่าทั้งฝ่ายไทยและจีนจะได้ข้อสรุปร่วมกันแล้ว แต่การเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-นครราชสีมาก็ยังล่าช้าและเริ่มก่อสร้างไม่ได้
ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องใช้อำนาจตามม.44 ยกเว้นระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะการยกเว้นกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง 7 ฉบับ อาทิ กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดหาผู้ประกอบการและการเสนอราคา ,กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549
จนในที่สุดเมื่อวันที่ 11 ก.ค.2560 ครม.อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ต่อมาในเดือนก.ย.2560 พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางไปเยือนจีนเพื่อเข้าร่วมประชุม BRICS Summit โดยได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง และร่วมได้เป็นสักขีพยานการลงนามสัญญาก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงระหว่างไทยและจีนเส้นดังกล่าว และเดินหน้าตอกเสาเข็มเริ่มต้นโครงการในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมลงนามสัญญาภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา) จำนวน 2 สัญญา เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2560
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ค้นมติครม.เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-นครราชสีมา พบว่า ในช่วงที่เปิดให้บริการหรือตั้งแต่ปี 2564-2594 โครงการนี้จะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจคิดเป็น 11.68% ตั้งแต่การประหยัดค่าใช้จ่ายและลดเวลาการเดินทาง ลดความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุ รวมทั้งจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจีสติกส์ในภูมิภาค กระจายการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมจากส่วนกลางไปยังภูมิภาค และสร้างผลตอบแทนเชิงกว้างที่มีผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ปทุมธานี อยุธยา สระบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งถือว่าคุ้ม แม้ว่าผลตอบแทนทางการเงินของโครงการจะไม่คุ้มค่าก็ตาม
เนื่องจากตลอดระยะเวลาการให้บริการของโครงการ พบว่ามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) พบว่าติดลบ 59,268 ล้านบาท หรือเท่ากับว่าตลอดระยะเวลา 30 ปีของการดำเนินงาน โครงการนี้จะมีผลขาดทุนสุทธิเกือบ 6 หมื่นล้านบาท แต่หากจะให้โครงการมีความคุ้มค่า รัฐบาลต้องลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท และหากการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี และจำนวนผู้โดยสารไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้โครงการขาดทุนสูงมากกว่านี้
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ในที่ประชุมครม.ไม่ได้มีการพูดถึงผลการขาดทุนของโครงการนี้แต่อย่างใด แต่โดยทั่วไปแล้ว โครงการที่ผ่านการอนุมัติจากครม.จะต้องมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่คุ้มค่าอยู่แล้ว อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพ-นครราชสีมาที่ครม.เห็นชอบไปนั้น จะมีผลในการสร้างการเจริญเติบโตให้พื้นที่โดยรอบ ส่วนเงินลงทุนที่จะใช้ในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี 1 แสนล้านบาท เพื่อทำให้โครงการมีผลตอบแทนทางการเงินที่คุ้มค่านั้น คงเป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมที่จะเป็นผู้พิจารณาและเสนอเรื่องนี้ต่อไป
ส่วนการดำเนินงานโครงการหลังจากได้ฤกษ์ 'ตอกเสาเข็ม' เริ่มต้นงานเป็นทางการ จะมีปัญหาอุปสรรคหรือเกิดเรื่องอะไรที่ไม่พึ่งประสงค์ตามมาอีกบ้างหรือไม่
สาธารณชนคงต้องคอยติดตาม ตรวจสอบสอดส่องดูแลกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
E-project : ชำแหละเมกะโปรเจกต์ 'คสช.' ตีตั๋วกู้ 1.8 ล้านล.-ปิดเงียบข้อมูลไฮสปีดไทย-จีน