วิจารณ์แซดแม่ทัพ 4 ใช้ไม้แข็งสั่งย้ายผู้ใหญ่บ้านเซ่นเผารถทัวร์
แม้จะมีความคืบหน้าทางคดี หลังเกิดเหตุการณ์คนร้ายนับสิบควงอาวุธสงครามบุกยึดรถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพฯ ก่อนไล่ผู้โดยสารลง แล้วเผารถทั้งคัน เหตุเกิดที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ธ.ค.60 โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้บ้างแล้วก็ตาม
แต่ประเด็นที่คนในพื้นที่ชายแดนใต้ให้ความสนใจมากกว่า คือคำให้สัมภาษณ์ของแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช ที่เสนอให้ฝ่ายปกครองสั่งย้ายผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เกิดเหตุ เพราะถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ
สำนักข่าวเนชั่นรายงานอ้างคำกล่าวของ พล.ท.ปิยวัฒน์ หลังเกิดเหตุคนร้ายบุกจี้และเผารถทัวร์ว่า ได้ประสานฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้ "ปลด" หรือ "ไล่ออก" ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงให้มีการสอบสวนชุดเจ้าหน้าที่ ทั้ง ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) และ อส. (อาสารักษาดินแดน) พร้อมสั่งสอบวินัยเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ด้วย หากมีความผิด หรือประมาทเลิ่นเล่อ ก็ต้องถูกลงโทษ เพื่อปิดช่องโหว่ช่องว่างที่เกิดขึ้น
ท่าทีแข็งกร้าวของแม่ทัพภาคที่ 4 กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางของคนในพื้นที่ชายแดนใต้ ทั้งชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเอง โดยเสียงวิจารณ์มีทั้งสนับสนุนและคัดค้าน
หวั่นกลายเป็นเงื่อนไขซ้ำรอยตากใบ
นายโยฮัน (สงวนนามสกุล) ชาวบ้านจาก จ.ปัตตานี กล่าวว่า แม่ทัพพูดแบบนี้เหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟให้ลุกไหม้แรงขึ้น เพราะอาจเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มที่ใช้ความรุนแรง หาเหตุในการสร้างสถานการณ์หนักขึ้น
"ชาวบ้านถูกกลุ่มคนพวกนี้กดอยู่แล้ว การพูดแบบไม่ระมัดระวังของคนระดับแม่ทัพ อาจยิ่งเพิ่มความรุนแรงได้ ตัวอย่างในอดีตก็เคยมีมาแล้ว" นายโยฮัน ระบุ
เหตุการณ์ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตตามที่นายโยฮันพูดถึง ตรงกับทัศนะของหลายๆ คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับสูงที่เคยผ่านงานในพื้นที่ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 เคยมีเหตุการณ์คนร้ายบุกปล้นอาวุธปืนจากผู้นำท้องถิ่น และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) โดยเป็นปืนที่ทางราชการมอบไว้ให้ใช้งาน
เมื่อเกิดเหตุบ่อยครั้งเข้า ฝ่ายความมั่นคงมองว่าอาจเป็นการสมยอมกันระหว่างผู้นำท้องถิ่น หรือ ชรบ. กับกลุ่มผู้ไม่หวังดี จึงคาดโทษด้วยการเอาผิดผู้ที่ปล่อยให้ปืนถูกปล้นไปง่ายๆ ต่อมามีการแจ้งความดำเนินคดีกับ ชรบ. 6 คนในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาปืนไป จนมีการปลุกระดมมวลชนมาประท้วงให้ปล่อยตัว และบานปลายกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค.47 จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 85 คน และกลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของไฟใต้ยุคใหม่ ซึ่งยังคงมีการกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน
สอดคล้องกับความเห็นของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่มานาน ที่บอกว่า แม่ทัพพูดแรงมาก เหมือนไม่คิดเลยว่าอาจถูกนำมาเป็นเงื่อนไขเหมือนในอดีตได้ สถานการณ์ทุกวันนี้ ดูเผินๆ เหมือนดีขึ้น แต่จริงๆ แค่ถูกกดไว้ เพราะกำลังเจ้าหน้าที่มีมากกว่า วันไหนที่มีจังหวะปะทุขึ้นมา ชาวบ้านคือผู้เดือดร้อน
"เจ้าหน้าที่มาเดี๋ยวก็ไป พูดอะไรถ้าไม่คิดจะกระทบกับคนข้างหลัง กระทบกับคนทำงาน บางทีทำดีมาตลอด เจอคำสะกิดใจนิดหน่อยก็พังหมด ปัญหาในพื้นที่เป็นแบบนี้แหละ ถึงไม่มีวันจบ" เจ้าหน้าที่ทหารที่ไม่ขอเอ่ยนาม กล่าว
หนุนแม่ทัพ "เชือดไก่ให้ลิงดู"
ฝ่ายที่สนับสนุนแม่ทัพก็มีไม่น้อยเช่นกัน อย่าง นางอรณี (สงวนนามสกุล) ชาวใน จ.ปัตตานี บอกว่า ที่แม่ทัพพูดออกมาแบบนั้น เหมือนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร การไล่ออก หรือสอบสวนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งทหารที่รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุ ถือว่าเป็นไปทำตามขั้นตอนที่สมควรแล้ว
"ถ้าท่านกล้าสอบทหาร สอบผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ก็เหมือนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ใครที่รู้เห็นกับเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายไหน จะต้องถูกลงโทษ ถ้าทำได้จริงก็จะทำให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ได้รู้บ้าง เท่าที่สังเกตคำพูดของแม่ทัพเหมือนจะมองไปที่ปัญหาภ้ยแทรกซ้อน มากกว่าเรื่องของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน"
อรณี บอกด้วยว่า ถ้าแม่ทัพใช้ไม้แข็งกับทุกเหตุการณ์ พวกภัยแทรกซ้อน (ค้าน้ำมันเถื่อน ขนสินค้าเถื่อน ค้ายาเสพติด และธุรกิจผิดกฎหมาย) ที่เกิดจากผู้นำท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพล หรือแม้แต่ที่มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อส. ฝ่ายปกครอง รู้เห็นเป็นใจ ก็จะลดลง และทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ที่ผ่านมาฝ่ายต่างๆ เคยทดลองแก้ปัญหามาร้อยแปดวิธีแล้วแต่ไม่ได้ผล ลองวิธีนี้บ้างอาจจะดีขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้
เช่นเดียวกับ นายรักชาติ สุวรรณ แกนนำเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บอกว่า เห็นด้วยกับแม่ทัพ เพราะท่านมองถึงเรื่องความรับผิดชอบพื้นที่ ซึ่งรัฐก็พูดมาตลอดว่า ผู้ใหญ่บ้านต้องรับผิดชอบ การกระทำลักษณะนี้เข้าข่ายเชือดไก่ให้ลิงดู แต่รัฐไม่ควรด่วนสรุปว่าเป็นฝีมือใคร ก่อนจะมีการสืบหาต้นตอให้ชัดเจน
หัวอกผู้ใหญ่บ้าน ยืนอยู่หว่างเขาควาย
ด้านผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งในพื้นที่ ระบายความรู้สึกให้ฟังว่า การทำงานในพื้นที่ก็อยู่ยากแล้ว ต้องระวังทั้งสองฝ่าย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจาก 2 ฝ่าย วันไหนเกิดเหตุรุนแรงจากกลุ่มขบวนการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ก็จะถามว่าทำไมถึงเกิดเหตุ ทำไมไม่รู้ล่วงหน้า และยังถามด้วยว่าเหตุที่เกิดขึ้น เกิดจากฝีมือใคร จากฝ่ายไหน
"ผมคิดว่าถ้าคนที่เป็นผู้ใหญ่บ้านทุกคนสามารถรู้ได้ขนาดนั้น ป่านนี้ภาคใต้คงไม่มีปัญหาแล้ว คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำท้องถิ่นอย่างตรงไปตรงมา บอกตรงๆ ว่าอยู่ยาก เพราะวันดีคืนดีเจ้าหน้าที่มาค้นบ้านต้องสงสัยในหมู่บ้านที่รับผิดชอบ ฝ่ายที่คิดเห็นต่างจากรัฐก็มาด่า หาว่าเป็นคนแจ้งเจ้าหน้าที่มาค้นบ้าน เราผิดทุกทาง แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือผู้นำท้องถิ่นที่มีส่วนเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรง คนกลุ่มนั้นเขาไม่เดือดร้อน เพราะเขาคิดทางหนีทีไล่ คิดหาทางแก้ต่างไว้หมดแล้ว แต่สำหรับคนที่ทำงานตรงไปตรงมาต้องบอกว่าลำบาก ยิ่งนานวันยิ่งทำงานยาก"
ผู้ใหญ่บ้านรายนี้ยังระบายความในใจอีกว่า ปัจจุบันหน้าที่การแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน ถูกโอนไปที่ อบต. หรือองค์การบริหารส่วนตำบลหมดแล้ว แต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ยังเป็นหนังหน้าไฟที่ชาวบ้านพุ่งเป้ามาร้องเรียน ร้องทุกข์เมื่อเกิดปัญหา
"ทุกวันนี้น้ำไม่ไหล ไฟดับ ไม่มีเงิน เจ้าหนี้ตามทวง หม้อไฟถูกตัด ของหาย ขโมยขึ้นบ้าน กำจัดนักเลง ระวังภัยพิบัติ ไม่มีน้ำใช้ น้ำท่วมบ้าน สัตว์เลี้ยงหาย โรคร้ายระบาด ทะเลาะกัน ไฟไหม้ โทรตามกู้ชีพ ไล่จับคนร้าย คนตายไม่มีเงิน ทั้งหมดคือหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แลกกับเงินเดือน 8,000 บาท ไหนจะต้องอยู่อย่างระวังหน้าระวังหลังเวลาไปไหนมาไหนอีก พอเกิดเหตุมาบอกว่าสงสัยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สงสัยผู้ช่วยฯ ทำแบบนี้คนดีๆ ที่คิดทำงานจริงก็แย่ แล้วใครจะอยากมาทำงาน ปัจจุบันก็จะเห็นหลายหมู่บ้านที่ไม่มีใครมาทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้แต่อิหม่าม เพราะกลัวปัญหาอย่างที่บอก" ผู้ใหญ่บ้านชายแดนใต้ ระบุ
--------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : การทำงานของ ชรบ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กับทหาร ตำรวจในแต่ละพื้นที่
อ่านประกอบ :
นาทีชีวิตคนร้ายบุกจี้รถทัวร์เบตง-กรุงเทพฯ ช่วยผู้โดยสารหิ้วกระเป๋าก่อนเผาทั้งคัน!
ควงปืนบุกจี้รถทัวร์เบตง-กรุงเทพฯ จุดไฟเผาวอด โค่นต้นไม้ขวางถนน!