ครม.ผ่านร่างพรบ.ยางแห่งชาติ เอกชนชี้ช่วยพัฒนามีเอกภาพ
ครม.ไฟเขียวตั้งองค์กร “การยางแห่งประเทศไทย” ยุบกองทุนสงเคราะห์ยาง ด้านเอกชนหนุน เชื่อทำให้การพัฒนามีเอกภาพ หวังสภาผ่านร่างกฎหมาย หลังรอมานานนับ 10 ปี
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฐานะรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ.2503 พระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2505 พระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2508 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 114 ลงวันที่ 3 เม.ย. พ.ศ.2515 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนยาง (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535
นอกจากนี้ ให้จัดตั้งการยางขึ้นเรียกว่า “การยางแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กยท.” และเป็นนิติบุคคล ซึ่งรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร และให้โอนบรรดากิจการ เงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ภาระผูกพันและงบประมาณของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางและองค์การสวนยางไปเป็น กยท.
นายหลักชัย กิตติพล ประธานบริหารและกรรการผู้จัดการ บริษัทไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคเอกชนเห็นด้วยเพราะจะส่งผลให้มีองค์กรที่ดูแลเป็นองค์กรเดียว ซึ่งประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย อินเดียได้ดำเนินการมานานแล้ว ขณะที่ภาคเอกชนได้ผลักดันเรื่องนี้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากต้องผ่านการพิจารณาของการเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลชุดนี้สนับสนุน คาดว่าการพิจารณา พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร จะรวดเร็วขึ้น หากนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ในเร็วๆนี้คาดว่าจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำได้รับการดูแลมากยิ่งขึ้น
นายวิทย์ ประทักษ์ ผู้อำนวยการ สกย. กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเป็นฉบับเดิมที่ถูกตีกลับเนื่องจากยุบสภา ดังนั้นการพิจารณาของรัฐบาลชุดนี้จึงไม่จำเป็นต้องเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะส่งผลให้ขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรรวดเร็วขึ้นและนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ทันรัฐบาลชุดนี้
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวทางเกษตรกรผลักดันมาโดยตลอดดังนั้นเมื่อผ่านการพิจารณา ครม.ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ดี แต่คาดว่าในรายละเอียดจะออกมาเหมือนเดิมคือกำหนดให้ใช้เงินจากการเก็บค่าธรรมเนียมจากการส่งออกยางพาราหรือเซส ที่มีอยู่ 2 หมื่นล้านบาทในการวิจัย และบริหารองค์กร 35% ที่เหลือ 65% ในการพัฒนาเกษตร