สปสช.หนุน “ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย” จัดสิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ
สปสช.หนุน “การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง” จัดชุดสิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่บ้าน ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและครอบครัวญาติผู้ดูแล ปี 2559 ให้บริการครบถ้วน 399 แห่ง มีผู้ป่วยได้รับการดูแลกว่า 8 พันคน พร้อมเผยผลการศึกษาติดตาม ช่วยลดจำนวนครั้งการนอน รพ.ของผู้ป่วย ลดภาระทางการเงินของงครอบครัวที่ต้องเดินทางมาดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ผลสำเร็จเกิดจากกลไกระบบดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ของทีมหมอครอบครัวดูแลใกล้ชิดจนวาระสุดท้าย ด้วยยาและอุปกรณ์การให้อ๊อกซิเจนที่บ้าน
นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลชาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative care) เป็นรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ สําหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคคุกคามต่อชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วย ผ่านกระบวนการป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด รวมทั้งให้คําแนะนําต่อญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยเพื่อเตรียมรับมือกับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดตามบริบทของปัจเจกบุคคลเท่าที่จะทําได้ในเวลาที่เหลืออยู่
ทั้งนี้ สปสช.ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง ในปี 2553 จึงได้เริ่มสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์ให้เกิดการดูแลที่บ้านสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของครอบครัวที่ต้องมาดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล
นพ.ชูชัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีหน่วยบริการประจำที่ให้บริการการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองจำนวน 399 แห่ง โดยจัดบริการร่วมกันกับหน่วยบริการปฐมภูมิเป็นเครือข่ายคลัสเตอร์บริการปฐมภูมิ (PCC) รวมแล้วกว่า 4,000 แห่ง ซึ่งจากข้อมูลในปี 2557-2559 พบว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยที่รับบริการการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยปี 2559 มีผู้ป่วยได้รับบริการรวม 8,209 คน หรือ 32,810 ครั้ง จากปี 2557 มีผู้ป่วยรับบริการ 5,820 คน หรือ 22,077 ครั้ง ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อดูแลเพิ่มขึ้น จากปี 2557 จำนวน 30.64 ล้านบาท ในปี 2559 เพิ่มเป็น 60.39 ล้านบาท และจากข้อมูลรายละเอียดพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่รับการดูแลระยะสุดท้ายแบบประคับประคองอันดับต้นๆ ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็งปอด, มะเร็งท่อน้ำดี, ปอดอุดกั้นเรื้อรัง, มะเร็งตับ, มะเร็งเต้านม, ไตวายเรื้อรัง, มะเร็งลำไส้ใหญ่ และหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ทั้งนี้ รพ.ที่มีจำนวนผู้ป่วยระยะสุดท้ายรับการดูแลแบบประคับประคอง 5 อันดับแรก ได้แก่ รพ.เขื่องใน, รพ.ลี้, รพ.เสลภูมิ, รพ.ยางตลาด และ รพ.สันป่าตอง
สำหรับสิทธิประโยชน์เพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง สปสช.ได้กำหนด 3 ชุดสิทธิประโยชน์หลัก เพื่อเบิกจ่ายที่ครอบคลุมผู้ป่วยทุกกลุ่มโรคที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายตามหลักเกณฑ์ที่กรมการแพทย์กำหนด คือ 1.ยามอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการปวด 2.ชุดทำความสะอาด และ 3.ออกซิเจนพร้อมอุปกรณ์ร่วมกับการติดตามอาการตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีอย่างเหมาะสม
นพ.ชูชัย กล่าวต่อว่า ในการประเมินสิทธิประโยชน์เพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง จากผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบายแก่ สปสช.ต่อบริการดูแลแบบประคับประคอง โดย ดร.สุพล ลิมวัฒนานนท์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่านอกจาก รพ.หลายแห่งได้มีการพัฒนาระบบเยี่ยมบ้าน พร้อมจัดอุปกรณ์ราคาแพงให้ผู้ป่วยยืม เช่น เครื่องผลิตออกซิเจน เครื่องให้ยา เตียงผู้ป่วย และเครื่องดูดเสมหะ เป็นต้นแล้ว จากข้อมูลปี 2557-2558 พบว่า จำนวนครั้งการเข้านอน รพ.ลดลงจาก 9 ครั้ง ก่อนการเยี่ยมบ้าน เป็น 6-8 ครั้งเท่านั้น ขณะที่ค่าเบิกจ่ายการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยลดลง (Adjusted RW) จาก 1.5 เป็น 1.2 -1.3 ซึ่งน่าจะส่งผลในการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและและการเดินทางไปโรงพยาบาลของครัวเรือนได้ ชี้ให้เห็นถึงผลบวกและทิศทางการผลักดันนโยบายนี้ในอนาคต
อย่างไรก็ตามการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น อบต. เทศบาล กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ ระดับจังหวัด ที่จัดหากเครื่องผลิตออกซิเจน หรือเครื่องให้ยา หรือเตียงผู้ป่วย และชุมชนที่จะร่วมกันดูแลให้ผู้ป่วยไปสู่สุคติภพภายใต้อ้อมกอดแห่งความรัก เกื้อกุล พร้อมการผลักดันจากนโยบายที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายคลินิกหมอครอบครัว แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) กองทุนระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care: LTC) และการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นการพัฒนาระบบบริการที่เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กรสหประชาชาติ เป้าหมาย 3 ถ้วนหน้าสำหรับทุกคนจากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://med.mahidol.ac.th