ศาลเปิดทางขสมก.ยึด338ล. ผิดสัญญาส่งมอบเมล์เอ็นจีวี
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาสั่งให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องเงินประกันจากธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน ) ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของบริษัทเบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 338,971,082 บาท
จากกรณีบริษัทเบสท์ริน ถูกกล่าวหาผิดสัญญาการส่งมอบรถยนต์โดยสารปรับอากาศจำนวน 390 คัน ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า กรณีการบอกเลิกสัญญาระหว่างบริษัทเบสท์ริน กับขสมก. ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ ข้อเท็จจริงในขั้นนี้ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ขสมก.กระทำผิดสัญญา และเมื่อขสมก.บอกเลิกสัญญากับบริษัทเบสท์รินแล้ว ขสมก.ย่อมมีสิทธิริบหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาและเรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันการปฏิบัติงานตามสัญญาของบริษัทเบสท์ริน รับผิดชดใช้เงินตามหนังสือค้ำประกันให้แก่ขสมก.ได้ เนื่องจากเป็นสิทธิของขสมก.ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
แม้ธนาคารผู้ค้ำประกันจะได้ใช้เงินตามหนังสือค้ำประกันให้แก่ขสมก.และได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากบริษัทเบสท์ริน ให้ชดใช้เงินดังกล่าวคืนให้แก่ธนาคารก็ตาม แต่หากต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่าขสมก. เป็นฝ่ายผิดสัญญา ศาลย่อมกำหนดคำบังคับใช้ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทเบสท์รินได้ ความเสียหายของบริษัทเบสท์ริน จึงไม่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่า ก่อนที่ศาลปกครองชั้นต้นจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาให้แก่บริษัทเบสท์ริน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ธนาคารไอซีบีซี(ไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของบริษัทเบสท์ริน ได้ใช้เงินตามหนังสือค้ำประกันให้แก่ขสมก.ไปแล้วจำนวน 338,971,082 บาท
นายวรพจน์ วณิชชานนท์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเบสท์ริน กล่าวว่า ยอมรับในคำสั่งศาล จากนี้ก็ต้องรอผลในคดีหลัก หากบริษัทชนะ นอกจาก ขสมก.ต้องรับรถยนต์โดยสารของบริษัทไป ก็ต้องคืนเงินประกันที่ยึดไปรวมถึงต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งการที่ทาง ขสมก.ยึดเงินค้ำประกันของบริษัท 300 กว่าล้านบาทไปจากธนาคารส่งผลเสียหายต่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทพอสมควร
ขณะนี้ทางบริษัทมีแนวความคิดที่จะยื่นฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจากทาง ขสมก.และธนาคาร แต่กำลังปรึกษาว่าจะรอคดีหลักตัดสินก่อน หรือดำเนินการคู่ขนานไปเลย
อย่างไรก็ตามปัจจุบันทางบริษัท ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาค่าดูแลรถโดยสารที่ ขสมก.ไม่ยอมรับมอบราวเดือนละ 1 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่คิดเมื่อครั้งที่ ขสมก.ไม่ยอมรับรถ โดยบริษัทต้องดูแลส่วนนี้ไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่ก็ได้มีการเรียกเป็นค่าเสียหายกับทาง ขสมก.ในสำนวนที่ฟ้องต่อศาลด้วย ซึ่งก็หวังว่าทางศาลจะกรุณาเร่งพิจารณาคดี เพราะยิ่งนานวันก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการเสื่อมสภาพของรถ แต่หากที่สุดศาลให้บริษัทชนะสภาพรถเป็นอย่างไรทาง ขสมก.ก็ต้องรับไปตามนั้น
กรณีนี้จึงเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาตามคำขอของบริษัทเบสท์รินฯศาลปกครองสูงสุดจึงไม่เห็นพ้องด้วย ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งให้ขสมก.ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาจากธนาคารไอซีบีซี(ไทย) จำนวน 338,971,082 บาท จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในคดีนี้เสีย