คลี่ปมร้อน3ปัจจัยเสี่ยง'เบสท์รินฯ' ฝ่าด่านผู้ทิ้งงาน ยื่นซองขายรถเมล์เอ็นจีวี รอบใหม่
"...เมื่อขสมก. ประกาศโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีครั้งใหม่ ปรากฏว่า บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ได้เข้าซื้อเอกสารประกวดราคาด้วย กรณีนี้จึงมีข้อที่ต้องพิจารณา ว่า หากบริษัท บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น เป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาและเป็นผู้ชนะการประกวดราคาในครั้งนี้ ขสมก. ต้องทำสัญญาซื้อรถเมล์กับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งหากภายหลัง บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ถูกลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน สัญญาซื้อรถโดยสาร ที่ขสมก. ก่อนิติสัมพันธ์ขึ้น จะถือเป็นเรื่องต้องห้ามตามข้อบังคับ ขสมก. ฉบับที่ 173 ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2557 ข้อ 98 วรรคสองหรือไม่..."
สาธารณชนคงได้รับทราบข้อมูลกันไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมา นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการบริหารกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดประมูลรถโดยสารประจำทางปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) 489 คัน ว่า หลังจากขายซองประกวดราคาด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์เมื่อ 7-11 ส.ค. 2560 และมีภาคเอกชนซื้อซองประกวดราคา 3 ราย ได้แก่ บริษัท ไทยเทคโนโลยี แอนด์ เดเวลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด และกิจการร่วมค้าเจวีซีซี โดยบริษัท ช.ทวี
โดยในวันที่ 24 ส.ค. 2560 จะเป็นวันครบกำหนดยื่นซองประกวดราคาวันสุดท้าย หากเป็นไปตามแผนงานหลังจากนี้จะมีการแจ้งรายชื่อบริษัทเอกชนที่มีสิทธิเข้าประมูลในวันที่ 1 ก.ย. 2560 และได้ผู้ชนะการประมูลภายใน ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวีทันภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าจะมีบริษัทเอกชนกี่รายที่จะแสดงความจำนงยื่นซองประกวดราคา
ส่วนกรณีปัญหาคุณสมบัติของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด นั้น นายณัฐชาติ ระบุว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย ซึ่งในอดีตขสมก.เคยมีหนังสือแจ้งไปยังบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ทิ้งงาน แต่เมื่อถูกทักท้วงว่าขั้นตอนไม่ถูกต้อง จึงได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว และเริ่มขั้นตอนใหม่ด้วยการแจ้งให้บริษัทดังกล่าวทราบอยู่ในข่ายขึ้นบัญชีดำ และให้ชี้แจงเหตุผลกลับมา ซึ่งขณะนี้ได้ชี้แจงเหตุผลกลับมาแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา คาดว่าผลสรุปจะออกมาเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัท เบสท์รินกรุ๊ป จำกัด ออกมาระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ยื่่นซองประกวดราคารถเมล์เอ็นจีวีกับ ขสมก. เเละยังไม่มั่นใจว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 ส.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ครบกำหนด บริษัทฯ จะเดินทางไปยื่นหรือไม่ ขอเวลาไตร่ตรอง (อ่านประกอบ : ขสมก.ยันไม่เคยพูด ‘เบสท์ริน’ พ้นบัญชีดำ แค่แจ้ง ‘เข้าข่าย’ รู้ผลตรวจคุณสมบัติ ก่อน 1 ก.ย.)
ไม่ว่าผลการดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ครั้งใหม่ นี้ จะออกมาเป็นอย่างไร บริษัท เบสท์รินกรุ๊ป จำกัด จะยังเดินหน้ายื่นซองประกวดราคาหรือไม่ แต่มีข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่ง ที่ขสมก.ยังไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นทางการ
คือ ปัจจัยด้านความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการประกวดราคาจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ครั้งใหม่ หากปรากฎชื่อ บริษัท เบสท์รินกรุ๊ป จำกัด เข้าร่วมยื่นซองเสนอราคา และเป็นผู้ชนะด้วย
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวใน ขสมก.ว่า ภายหลังจากที่ ขสมก. ได้บอกเลิกสัญญาการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ครั้งแรก กับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มนิติบุคคล 4 ราย ประกอบด้วย 1.บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด 2. บริษัทอาร์แอนด์ เอ คอมเมอร์เชียล เอสดีเอ็น บีเอชดี จากมาเลเซีย 3. บริษัท รถยนต์เซินหลวง (เซี่ยงไฮ้)จำกัด จากจีน และ 4.บริษัท เทคโนโลยี่พลังงานใหม่เป่ยฟีงกวางโจว จำกัด จากจีน เนื่องจากไม่สามารถส่งมอบรถฯ ให้ขสมก.ได้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา
ขสมก. ได้มีหนังสือแจ้งให้กลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงานทั้ง 4 แห่ง ชี้แจงเหตุผลข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบ ภายใน 20 วัน นับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.2560 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเพียงบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด รายเดียวที่ทำหนังสือชี้แจงเข้ามาที่ขสมก. ส่วนที่เหลืออีก 3 บริษัท ไม่มีหนังสือชี้แจงเข้ามา
กรณีดังกล่าว จึงถือว่าอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการลงโทษเป็นผู้ทิ้งงานตามข้อบังคับ ขสมก. ฉบับท่ 173 ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2557 ลงวันที่ 30 พ.ค.2557
และต่อมาเมื่อขสมก. ประกาศโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีครั้งใหม่ ปรากฏว่า บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ได้เข้าซื้อเอกสารประกวดราคาด้วย กรณีนี้จึงมีข้อที่ต้องพิจารณา ว่า หากบริษัท บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น เป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาและเป็นผู้ชนะการประกวดราคาในครั้งนี้ ขสมก. ต้องทำสัญญาซื้อรถเมล์กับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งหากภายหลัง บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ถูกลงโทษเป็นผู้ทิ้งงานสัญญาซื้อรถโดยสาร ที่ขสมก. ก่อนิติสัมพันธ์ขึ้น จะถือเป็นเรื่องต้องห้ามตามข้อบังคับ ขสมก. ฉบับที่ 173 ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2557 ข้อ 98 วรรคสองหรือไม่ นี่คือ ปัจจัยเสี่ยงแรก
ปัจจัยเสี่ยงที่สอง คือ ตามสัญญาเดิม การที่ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด แจ้งแหล่งกำหนดสินค้าไม่ถูกต้องทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถได้ ในสัญญาเดิม จนเป็นเหตุให้ขสมก. บอกเลิกสัญญานั้น หากบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาในการจัดซื้อครั้งใหม่นี้ และส่งมอบรถเมล์ที่นำเข้ามาเพื่อส่งมอบตามสัญญาเดิม รถเมล์จำนวนดังกล่าว จะถือเป็นรถของใหม่แต่เก่าเก็บหรือไม่ เนื่องจากระยะเวลา ได้ล่วงเลยมาเกือบ 1 ปีแล้ว นับตั้งแต่กรมศุลกากร แถลงข่าวสำแดงแหล่งกำเนิดเป็นเท็จ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2559
นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ คุณลักษณะของรถเมล์ ที่กำหนดในประกาศจัดซื้อครั้งใหม่ ที่มีการกำหนดให้รถที่จะส่งมอบต้องติดตั้งเครื่องบันทึก ข้อมูลการเดินทาง ก่อนการจดทะเบียนซึ่งรถเมล์ฯ ที่บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เตรียมส่งมอบตามสัญญาเดิม ไม่มีเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทาง แต่อย่างใด ซึ่งกรณีดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบสัญญาเช้าระบบตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติการเดินรถ (GPS) พร้อมติดตั้ง ตามสัญญาเลขที่ ช.53 /2559 ลงวันที่ 22 ก.ย. 2559 ขสมก. ได้นำเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางไปติดตั้งบนรถเมล์ฯ ของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ที่ทั้งขสมก. ยังไม่ได้ทำการตรวจรับรถเมล์ฯ ดังกล่าว ซึ่งชี้ให้เห็นข้อสังเกตสำคัญในการดำเนินงานโครงการนี้ ระหว่าง ขสมก. กับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เป็นอย่างมาก
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา ยังตรวจสอบพบว่า ปัจจัยความเสี่่ยงที่จะเกิดขึ้นในการประกวดราคาจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ครั้งใหม่ หากปรากฎชื่อ บริษัท เบสท์รินกรุ๊ป จำกัด เข้ายื่นซองเสนอราคาด้วย ตามที่ว่าไป อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลของสตง.เช่นกัน และจะมีการทำหนังสือแจ้งทักท้วงการดำเนินงานต่อ ขสมก.เป็นทางการในเร็วๆ นี้
แต่หากปัจจัยข้อสังเกตเรื่องนี้ถูกมองห้าม ในท้ายที่สุดของการจัดซื้อรถเมล์ครั้งใหม่ อาจจะไม่ได้จบลงแค่เรื่องของการบอกเลิกสัญญา เหมือนการจัดซื้อรอบแรก แต่อาจจะจบลงที่บทลงโทษคดีอาญาที่จะเกิดตามมา และน่าจะปรากฎชื่อของมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยยาวเป็นหางว่าวแน่นอน