รฟท.เล็งขึ้นค่าโดยสารรถรุ่นใหม่ ดีเดย์ 21ส.ค.นี้
การรถไฟแห่งประเทศไทย เผยเตรียมปรับขึ้นค่าโดยสารรถรุ่นใหม่ 115 คัน 8 ขบวน 21 ส.ค.นี้
นายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า การรถไฟฯ จะปรับขึ้นค่าโดยสารรถรุ่นใหม่ 115 คัน จำนวน 8 ขบวน ในอัตรา 100-200 บาทต่อที่นั่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค. เป็นต้นไป
การปรับค่าโดยสารจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 จะขึ้นราคาเฉลี่ยไม่เกิน 200 บาทต่อที่นั่ง และรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 จะปรับขึ้นราคาเฉลี่ยไม่เกิน100 บาทต่อที่นั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากรถโดยสารใหม่มีต้นทุนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น เช่น ห้องโดยสารที่กว้างขวาง ห้องน้ำระบบปิด บริการจอทีวี และบริการเสริมอื่นๆ
"เราเปิดให้บริการรถไฟโดยสารรุ่นใหม่มาตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2559 โดยจัดเก็บค่าโดยสารในอัตราที่ต่ำ เพราะเป็นช่วงโปรโมชั่นเพื่อให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการ ซึ่งขณะนี้ก็ให้บริการมารวมเป็นเวลา 9 เดือนแล้ว การรถไฟฯ เห็นควรว่าจะต้องปรับขึ้นราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เพราะรถไฟโดยสารรุ่นใหม่ มีตลาดเฉพาะกลุ่มที่พอมีกำลังซื้อ ส่วนรถขบวนเดิมยังไม่มีการปรับราคาแต่อย่างใด"
นายทนงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ผู้โดยสารตอบรับรถโดยสารรุ่นใหม่ 115 คัน เป็นอย่างดี โดยขณะนี้มีอัตราบรรทุกในฤดูท่องเที่ยวสูงถึง 85-90% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายอัตราการบรรทุกทั้งปี ส่วนนอกฤดูท่องเที่ยวมีอัตราบรรทุกเฉลี่ย 70-80% ซึ่งถือว่าน่าพอใจ คาดว่าอัตราการบรรทุกทั้งปีนี้จะเฉลี่ยสูงกว่า 80% แน่นอน
นอกจากนี้ การรถไฟฯ มีแผนที่จะขยายเส้นทางการให้บริการเพิ่มเติมอีกภายใน 3 ปี หลังจากการก่อสร้างทางคู่แล้วเสร็จ เพราะจะทำให้สามารถเพิ่มความถี่ในการโดยสารได้
รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า รถโดยสารรุ่นใหม่ 115 คัน เริ่มเปิดให้บริการใน 4 เส้นทางตั้งแต่วัน 11 พ.ย. 2559 และเก็บค่าโดยสารในอัตราโปรโมชั่นมาถึงปัจจุบัน คือ รถนอนปรับอากาศชั้น 2 มีอัตราค่าโดยสารระหว่าง 731-945 บาทต่อเที่ยว และรถนอนปรับอากาศชั้น 1 มีอัตราค่าโดยสาร 1,120-1,594 บาทต่อเที่ยว
แต่ตอนนี้การรถไฟฯ จะปรับค่าโดยสารขึ้นอีก 15-20% เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้มีกำไรจากบัตรโดยสารเล็กน้อย พร้อมมองว่าราคาใหม่ก็ยังเป็นอัตราที่ผู้โดยสารรับได้และสามารถแข่งขันกับขนส่งระบบอื่นได้ด้วย