อัยการสั่งไม่ฟ้อง 'แพท-ณปภา' ข้อหาร่วม-สมคบฟอกเงิน
อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง 'แพท-ณปภา' ข้อหาร่วมฟอกเงิน-สมคบฟอกเงิน เนื่องจากพยานหลักฐานทางคดีฟังไม่ได้ว่า 'แพท-ณปภา' กระทำความผิด และขอให้ศาลอาญามีหมายปล่อยตัว 'แพท-ณปภา' ในวันนี้
ความคืบหน้าคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบเพื่อการฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินจากการค้ายาเสพติด วันที่ 3 ส.ค. 2560 สำนักงานอัยการสูงสุด ออกแถลงคดีที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดำเนินคดียื่นฟ้อง 5 ผู้ต้องหา ได้แก่ นายณัฐพล นาคคำ , นายอัครกิตติ์ วรโรจเจริญเดช , นายสรรเสริญ รสานนท์ , น.ส.อังสุพร อินา และ น.ส.ณปภา ตันตระกูล ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน
สำหรับ น.ส.ณปภา ตันตระกูล ผู้ต้องหาที่ 5 พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน เพระเหตุได้มีการสมคบกันโดยโอน,รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเกี่ยวกับทรัพย์สินไม่ว่าก่อนหรือหลังกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง หรือปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3,5,7,9,60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91 พ.ร.บ.เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4
ทั้งนี้ เนื่องจากได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานสำนวนแล้ว ทางคดีไม่มีหลักฐานว่าผู้ต้องหาที่ 5 ได้ร่วมกันฟอกเงินหรือสมคบกันฟอกเงินกับผู้ต้องหาอื่นๆ คดีไม่ปรากฎหลักฐานว่าผู้ต้องหาที่ 5 ไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการยาเสพติด แม้แต่เลขาธิการ ป.ป.ส.ก็ไม่อนุมัติให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 5 ในความผิดเกี่ยวกับสนับสนุนหรือสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด นอกจากนี้การสืบสวนทางคดีตั้งแต่ต้น ก็ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันหรือเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาที่ 5 เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยได้ความเพียงว่า ผู้ต้องหาที่ 5 เป็นภรรยาของ นายอัครกิตติ์ วรโรจเจริญเดช ผู้ต้องหาที่ 2 เท่านั้น และหลักฐานทางคดีมีเพียงการโอนเงินที่นายอัครกิตติ์ วรโรจเจริญเดช ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นสามีโอนเงินให้กับผู้ต้องหาที่ 5 กระทำในช่วงเดือนเมษายน 2559 ถึงกุมภาพันธ์ 2560 จำนวน 18 ครั้ง และการทำธุรกรรมดังกล่าว ก็เป็นการโอนเงินผ่านระบบบัญชีธนาคารในยอดเงินหลักหมื่นและหลักแสนเท่านั้น ถือเป็นพฤติการณ์อุปการะเลี้ยงดูกันปกติระหว่างสามีภรรยาพึงกระทำต่อกัน นอกจากนี้ผู้ต้องหาที่ 2 ก็ใช้ระบบโอนเงินผ่านระบบ k-mobile banking plus อันเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย สำหรับบัญชีผู้ต้องหาที่ 5 ก็เป็นบัญชีที่เปิดใช้ปกติมานานแล้ว และมีเงินส่วนตัวอยู่ในบัญชีจำนวนหลายล้านบาท เงินที่ผู้ต้องหาที่ 2 โอนเข้ามาก็ยังคงค้างอยู่ในบัญชีไม่มีการเบิกถอนออกลักษณะหมุนเวียนแต่อย่างใด ทั้งยังปรากฎหลักฐานว่าเงินบางรายการที่โอนมาเป็นค่าจ้างที่ผู้ต้องหาที่ 5 ได้มาจากการรับจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผู้ว่าจ้างโดยปกติด้วย
พนักงานอัยการพิจารณาเห็นว่า พยานหลักฐานทางคดีฟังไม่ได้ว่า น.ส.ณปภา ตันตระกูล ผู้ต้องหาที่ 5 ได้กระทำความผิดฐานร่วมฟอกเงิน-สมคบฟอกเงิน จึงมีคำสั่งไม่ฟ้อง และมีคำขอร้องให้ศาลอาญามีหมายปล่อยตัว น.ส.ณปภา ตันตระกูล ผู้ต้องหาที่ 5 ในวันนี้