เอแบคโพลล์เผยผลวิจัยทางธุรกิจและเปิดโครงการ “เอแบคโพลล์ มินิเทรนส์” ในธุรกิจ “สมาร์ทโฟน”
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยธุรกิจ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดตัวโครงการ “เอแบคโพลล์ มินิเทรนส์ (ABAC POLL MiniTrends)” เพื่อกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขึ้น โดยเป็นโครงการรายงานข้อมูลทางธุรกิจแก่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเป็นรายไตรมาสชี้ให้เห็นถึงกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มมาแรงหรือน่าสนใจเป็นพิเศษเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนธุรกิจจากข้อมูลผลวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ได้จากการสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ และที่มีอยู่แล้วในตลาดและสังคมข้อมูลข่าวสาร
แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค
ดร.นพดล กล่าวว่า ในการเปิดตัวโครงการ “เอแบคโพลล์ มินิเทรนส์” ครั้งแรกนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลผลวิจัยธุรกิจ “สมาร์ทโฟน” ซึ่งพบว่า มูลค่าตลาดสมาร์ทโฟนโดยรวมสูงถึงกว่า 35,000 ล้านบาทโดยสูงกว่าตลาดโทรศัพท์มือถือธรรมดากว่า 40 เท่าตัวและแนวโน้มอัตราการเติบโตสูงขึ้นประมาณร้อยละ 15 ในปีนี้ เหตุผลสำคัญในกลุ่มผู้บริโภคที่ทำให้สมาร์ทโฟนมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น คือ สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนนิยมเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ชอบความสะดวกสบายและใช้งานเพียงปลายนิ้วสัมผัส ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ “แอพลิเคชั่น” เพิ่มสูงขึ้นกว่า 350 เปอร์เซ็นต์ และผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า “แอพลิเคชั่น” เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ผู้ซื้อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ทโฟน
“จากการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า หนึ่งในแอพลิเคชั่นที่กำลังอยู่ในกระแส คือ โซเชียลมีเดีย (Social Media) ที่ทำให้เกิดโรคติด เฟสบุค หรือ Facebooklism ที่ผู้ใช้มักใช้เวลากับ Facebook ทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่ออัพเดต Status ติดตาม Comment หรือรอคนมากด Like ซึ่งโซเชียลมีเดียเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คนยอมเทกระเป๋าสตางค์เพื่อซื้อสมาร์ทโฟน สำหรับออนไลน์และติดต่อกับผู้อื่นได้ ทุกที่ทุกเวลา” ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ผลการศึกษาโดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ยังค้นพบว่า ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้สมาร์ทโฟนนั้น มักอยู่ใน Gen M ที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี เป็นนักศึกษา หรือพนักงานบริษัท ที่น่าพิจารณาคือ เจ้าของสมาร์ทโฟนกระจายอยู่ทุกกลุ่มของระดับรายได้ของครอบครัว แสดงให้เห็นว่าระดับรายได้ไม่มีผลต่อการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนที่มีราคาแพงกว่าโทรศัพท์มือถือทั่วไปหลายเท่าตัว นอกจากนี้ อีกประเด็นที่น่าพิจารณาสำหรับผู้ประกอบการคือ จากการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้สมาร์ทโฟนแล้วจะไม่กลับไปใช้โทรศัพท์มือถือธรรมดาอีก และมีการอัพเกรดหรือเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือที่ค่อนข้างบ่อย โดยพบว่า มีการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถืออย่างน้อยทุกๆ 2 ปี
โอกาสทางธุรกิจ
ผลวิจัยยังได้ชี้ให้เห็นถึง “โอกาสทางธุรกิจ” ด้วยว่า ตัวอย่างกว่า 1 ใน 4 หรือร้อยละ 26.8 มีแผนที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือในอีก 3 เดือนข้างหน้า และในตัวอย่างกลุ่มนี้กว่าร้อยละ 80 วางแผนที่จะซื้อสมาร์ทโฟน โดยเตรียมงบประมาณสำหรับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่เฉลี่ยประมาณ 15,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจของตลาดสมาร์ทโฟนว่ายังสามารถเติบโตได้อีก
กลยุทธ์ทางการตลาด
ผลจากการวิจัยยังพบด้วยว่า การดำเนินธุรกิจประเภทนี้ในสภาวะปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นและเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องปรับตัวและปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ธุรกิจของตนเองโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งขันรายอื่นๆ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้พยายามจัดจำหน่ายสินค้าและการบริการที่หลากหลายเพื่อครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในการบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องเจอกับข้อจำกัดในการตั้งราคาที่จะต้องอยู่ในระดับของราคาตลาด ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องหันมาแข่งขันกันที่การให้บริการและโปรโมชั่นที่ทำให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาเป็นลูกค้าประจำในที่สุด การวิเคราะห์ทางการเงิน
กลุ่มธุรกิจ SME มีความต้องการด้านการเงินในการลงทุน เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในด้านสินค้าที่พร้อมจำหน่าย ค่าเช่าอาคาร/ร้านค้า อุปกรณ์ภายในร้าน ค่าแรงพนักงาน ค่าขนส่ง และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
โดยสรุป ธุรกิจขนาดย่อม ต้องการเงินทุนเริ่มต้นอยู่ระหว่าง 3 – 5 แสนบาท
ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลาง ต้องการเงินทุนเริ่มต้นอยู่ที่ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดผลวิจัยและการสมัครเป็นสมาชิกรับข้อมูลผลวิจัยจากโครงการ ABAC POLL MiniTrends โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือ โทร 02-719-1546-7