อึ้งพบ ป.1 อ่านไม่ออก 5.71 % เขียนไม่ได้ 7.63 % นักวิชาการหวั่นส่งผลต่อทักษะเด็กเมื่อโตขึ้น
ศึกษานิเทศก์ฯ แนะรูปแบบการสอนเด็ก ป.1-3 ให้อ่านออกเขียนได้ ต้องสอนจากง่ายไปหายาก ยันหยุดโทษครูภาษาไทย ให้มองเป็นหน้าที่ครูทุกคน ทุกวิชา เป็นต้นแบบการสอนและใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาสถานศึกษาต้นแบบ เพื่อส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ สำหรับเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ (Health literacy) ในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) ภายใต้การบูรณาการร่วมกับเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ เพื่อการสร้างสุขภาวะในโรงเรียน ในประเด็นการอ่านออกเขียนได้สำหรับเสริมสร้างความรู้ทางสุขภาพ โดยมีสถานศึกษาเข้าร่วมเพื่อเป็นต้นแบบจำนวน 34 แห่ง จาก 21 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ
นางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว กล่าวถึงสถานการณ์การอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ปี 2558 เด็ก ป.1 อ่านไม่ออก 5.71 % เขียนไม่ได้ 7.63 % ซึ่งการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นี้จะส่งผลถึงความสามารถและทักษะของเด็กเมื่อเติบโตขึ้น อาทิ ความสามารถด้านการเรียนรู้ ความฉลาด/ความรอบรู้ทางสุขภาพ (Health literacy) ดังนั้น วัตถุประสงค์สำคัญในการบูรณาการการทำงานร่วมกับเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ คือ การพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ กับนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 ของโรงเรียนในเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ เพื่อมุ่งผลลัพธ์ 4 ประการ คือ 1) นักเรียนในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-3) ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการสามารถอ่านออกเขียนได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน 2) ส่งเสริมให้ครูผู้สอนตระหนักในความสำคัญและจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมและแก้ปัญหาด้านการอ่านและการเขียน 3) พัฒนาเครือข่ายโรงเรียนการอ่านออกเขียนได้สำหรับเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพในพื้นที่ของเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ และ 4) เพื่อพัฒนา ถอดบทเรียนนวัตกรรมและองค์ความรู้ที่ส่งเสริมและแก้ปัญหาด้านการอ่านและการเขียนที่สามารถต่อยอดและขยายผลได้ ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ที่ 50 เครือข่าย 250 โรง (1 เครือข่าย 1 ต้นแบบ 4 โรงเรียนเครือข่าย)
ดร.วิภา ตัณฑุลพงษ์ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันพบ 5 ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ 1) มีความหลากหลายของภาษาที่ใช้ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 70 ภาษา ส่งผลต่อการเรียนการสอนภาษาไทย 2) กระแสความเจริญของโลกเทคโนโลยีการสื่อสาร ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ทำให้ละเลยไม่สนใจเรียนภาษาไทย 3)เด็กจำนวนหนึ่งอยู่ในครอบครัวยากจนขาดโอกาส ไปโรงเรียนไม่ต่อเนื่อง ขาดการฝึกฝนการอ่านการเขียน 4) ผู้สอนภาษาไทยบางส่วนขาดองค์ความรู้และวิธีสอนภาษาไทย 5) นักเรียนอ่านเขียนภาษาไทยไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของหลักสูตรและความเหมาะสมตามช่วงวัย
ดร.วิภา กล่าวต่อว่า การสอนภาษาไทยให้ได้ผลจะต้องใช้รูปแบบและวิธีสอนที่หลากหลาย มีการผสมผสานทั้งการแจกลูกสะกดคำ สอนโดยวิธีมุ่งเสริมสร้างประสบการณ์หรือวิธีการใดๆ ที่ทำให้นักเรียนวัยเริ่มเรียน โดยเฉพาะชั้น ป.1-3 อ่านออกเขียนได้ และต้องสอนจากง่ายไปหายาก พร้อมทั้งส่งเสริมการเขียน และคัดลายมือ โดยเฉพาะชั้น ป.1 ส่วนชั้นอื่นๆ นอกจากคัดลายมือแล้วต้องส่งเสริมการเขียนเรียงความ ย่อความและสรุปความ ทั้งนี้ ทักษะการอ่านที่ครูต้องสอน คือ การอ่านคำและรู้ความหมายของคำ การอ่านจับใจความ การอ่านออกเสียงให้ชัดเจน การอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้ การฝึกให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน และการอ่านเพื่อให้คุณค่าและเกิดความซาบซึ้ง โดยประเด็นปัญหาสำคัญจงหยุดเข้าใจว่าปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เป็นหน้าที่ของครูภาษาไทยเท่านั้น ซึ่งความจริงคือครูทุกคนต้องเป็นต้นแบบการสอนและใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง และครูทุกวิชาต้องสอนภาษาไทยแบบแจกลูกสะกดคำได้ทุกคน
“ก้าวย่างที่สำคัญของการเรียนภาษาไทย คือ “รอยเชื่อมต่อการเรียนรู้ ระหว่างชั้นอนุบาลและประถมศึกษา” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เด็กทุกคนต้องเผชิญกับรอยเชื่อมต่อนี้ทั้ง 3 ระยะ คือ 1) รอยเชื่อมต่อระหว่างบ้านและสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล 2) รอยเชื่อมต่อระหว่างชั้นเรียนอนุบาลและประถมศึกษา 3)รอยเชื่อมต่อระหว่างชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเด็กในช่วงรอยต่อเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง ตลอดจนบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง หากเด็กปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็จะสามารถเรียนรู้และมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าแต่ในทางตรงกันข้าม หากเด็กปรับตัวไม่ได้อาจเป็นอุปสรรคประการสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กเมื่อขึ้นชั้นประถมศึกษา ทั้งนี้ ครูอนุบาลและครูประถมจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวนี้” ดร.วิภา กล่าว