"โจรสลัด" อีกหนึ่งภัยคุกคามทะเลไทย-อาเซียน
"โจรสลัดปล้นเรือไทย" น่าจะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักในบ้านเรา หลายคนมองว่าปัญหา "โจรสลัด" เป็นเรื่องไกลตัว แต่หารู้ไม่ว่ากองทัพไทยได้ไปร่วมเป็น 1 ใน 4 ประเทศในภารกิจลาดตระเวนร่วมและเฝ้าระวังทางอากาศ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวบริเวณช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นช่องแคบปลายแหลมมลายูที่มีเรือบรรทุกสินค้าและเรือบรรทุกน้ำมันแล่นผ่านไปมาหนาแน่นที่สุดในโลก
เมื่อช่วงค่ำของวันอาทิตย์ที่ 25 มิ.ย.ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือ ศรชล. ได้รับแจ้งจากเจ้าของเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติไทย ชื่อ CP41 ว่าถูกโจรสลัดปล้นบริเวณน่านน้ำเมืองกวนตัน รัฐปะหัง ประเทศมาเลเซีย พร้อมสูบถ่ายน้ำมันดีเซลจากเรือไปไม่ต่ำกว่า 1,500,000 ลิตร ก่อนหลบหนีไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนว่าปัญหาโจรสลัดไม่ได้ไกลตัวประเทศไทยอย่างที่ใครหลายคนคิด...
พล.ร.ต.มนตรี รอดวิเศษ เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 2 บอกว่า เรือ CP41 เป็นเรือบรรทุกน้ำมันลำที่ 9 ในรอบ 4 ปีที่ถูกโจรสลัดปล้นน้ำมันกลางทะเล เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ย้อนกลับไปในปี 2556 เรือบรรทุกน้ำมันถูกโจรสลัดปล้น จำนวน 1 ลำ ปี 2557 ถูกปล้น 5 ลำ ปี 2558 อีก 2 ลำ กระทั่งในปี 2560 คือเหตุการณ์ครั้งนี้
แต่ละเหตุการณ์จะมีพฤติการณ์คล้ายกัน คือจะมีกลุ่มชายฉกรรจ์ 6-7 คนที่เชื่อว่าน่าจะเป็นชาวอินโดนีเซีย เพราะพวกเขามักสื่อสารกันด้วยภาษาบาฮาซา ซึ่งเป็นภาษามลายูพื้นถิ่นของชาวอินโดฯ และมักใช้ช่วงเวลากลางดึกลอบขึ้นมาบนเรือบรรทุกน้ำมันหรือเรือบรรทุกสินค้า ก่อนใช้อาวุธจี้จับลูกเรือ ทำลายอุปกรณ์การสื่อสาร และสูบน้ำมันก่อนหลบหนีไป
เส้นทางเดินเรือที่มักเกิดเหตุถูกโจรสลัดปล้น เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 2 บอกว่า มักเกิดขึ้น 2 เส้นทาง คือ บริเวณช่องแคบมะละกา และบริเวณน่านน้ำฝั่งมาเลเซีย ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นเส้นทางการเดินเรือจากประเทศสิงคโปร์มายังประเทศไทย
สาเหตุที่เส้นทางเหล่านี้กลายเป็นพื้นที่ที่โจรสลัดออกปฏิบัติการ เชื่อว่าเป็นการขยายพื้นที่จาก "ช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือระหว่างปลายแหลมมลายู (มาเลเซีย / สิงคโปร์) กับเกาะสุมาตรา (อินโดนีเซีย) ถือเป็นพื้นื่รอยต่อของ 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์
"ช่องแคบมะละกา" ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลและเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดต่อระบบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากใช้ขนถ่ายสินค้าและน้ำมันทั้งในทวีปเอเชียและจากภูมิภาคอื่นจากทั่วทุกทวีป มีเรือขนาดยักษ์ผ่านวันละ 900 ลำ ปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 ลำ ทำให้ "ช่องแคบมะละกา" มีโจรสลัดชุกชุม กระทั่ง 3 ประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่นี้ รวมทั้งไทย มีโครงการลาดตระเวนร่วม ใช้ชื่อว่า eyes on the sky เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศและกองทัพเรือของ 4 ประเทศ รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกันด้วย
ทั้งหมดอยู่ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นเรือโดยการใช้อาวุธในเอเซีย หรือ ReCAAP (รีแคป) และศูนย์บูรณาการข้อมูลข่าวสารทางทะเล หรือ IFC ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์
จากความร่วมมือกันอย่างแข็งขันของ 4 ประเทศ ทำให้สถิติการปล้นสดมภ์ของกลุ่มโจรสลัดในช่องแคบมะละกาลดจำนวนลงอย่างน่าพอใจ แต่กลุ่มโจรก็ขยายพื้นที่ไปปฏิบัติการในเขตน่านน้ำเศรษฐกิจจำเพาะของแต่ละประเทศ เช่น น่านน้ำมาเลเซีย ดังที่เรือบรรทุกน้ำมันของไทยเพิ่งโดนปล้นล่าสุด
ด้วยเหตุนี้การหารือเพื่อยกระดับความร่วมมือและขยายพื้นที่ลาดตระเวนร่วม อาจเป็นโจทย์ข้อใหม่ที่ทั้ง 4 ประเทศต้องให้ความสำคัญ
---------------------------------------------------------------------------------------
เรื่อง/ภาพ : ชลธิชา รอดกันภัย สถานีโทรทัศน์ NOW26 และ ปกรณ์ พึ่งเนตร
บรรยายภาพ :
1 และ 3 กองทัพเรือไทยเข้าช่วยเหลือเรือ CP41
2 แผนที่แสดงจุดที่พบเรือ