มหากาพย์ปมเงินกู้ ช.พ.ค.3พันล.! ป.ป.ช.เชือดล็อตแรก20ราย-รอฟันอีก2คดี
“…นั่นหมายความว่า คดีเกี่ยวกับเงินกู้ ช.พ.ค. มี 3 คดี คดีแรกคือคดีนี้ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดไปแล้ว เสียหายประมาณ 2.5 พันล้านบาท คดีที่สองคือการอนุมัติเงินกู้ ช.พ.ค. เสียหายประมาณ 500 ล้านบาท และคดีสุดท้ายเกี่ยวกับการออกระเบียบโดยมิชอบ เท่ากับว่ายังเหลืออีกอย่างน้อย 2 คดี ที่ยังคาอยู่ในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. …”
ในที่สุดก็รูดม่านปิดฉากลงอีกคดี !
ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายเกษม กลั่นยิ่ง อดีตประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. นายสมศักดิ์ ตาไชย อดีตรองประธานบอร์ดบริหารกองทุนฯ ช.พ.ค. และอดีตเลขาธิการ สกสค. กับพวกที่เป็นบอร์ดบริหารกองทุน ช.พ.ค. รวม 20 ราย ซึ่งรวมถึงเอกชนอย่าง บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวชั่น กรุ๊ป จำกัด และนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ ‘เดอะบิ๊ก’ นักธุรกิจชื่อดังด้วย
ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่า อนุมัติซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 2.1 พันล้านบาท และ 400 ล้านบาท ให้บริษัท บิลเลี่ยนฯ โดยมิชอบ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัท บิลเลี่ยนฯ
พฤติการณ์ของคดีนี้ หากสรุปให้ง่ายขึ้นคือ ช่วงปลายปี 2556 บอร์ดบริหารกองทุนฯ ช.พ.ค. อนุมัติซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัท บิลเลี่ยนฯ 2 ครั้ง ครั้งแรก 2.1 พันล้านบาท ครั้งที่ 2 อีก 400 ล้านบาท โดยที่บริษัทดังกล่าวไม่ได้ให้ธนาคารอาวัลเช็ค (การค้ำประกันการใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) นอกจากนี้หลักฐานที่ใช้ในการค้ำประกัน ส่วนใหญ่เป็นหลักฐานปลอม และมีวงเงินไม่ถึงการค้ำประกัน นอกจากนี้บอร์ดบริหารกองทุนฯ ช.พ.ค. ยังขยายเวลาเพิ่มเติมในการชำระหนี้ให้กับบริษัท บิลเลี่ยนฯด้วย
(อ่านประกอบ : ป.ป.ช.เชือด‘เกษม-สมศักดิ์-บอร์ด ช.พ.ค.’ ทุจริตปล่อยกู้ 2.5 พันล.ให้ บ.‘เดอะบิ๊ก’)
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ค่อนข้างซับซ้อน และมีเงื่อนปมค่อนข้างมาก
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปให้สาธารณชนเข้าใจง่าย ดังนี้
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 มีการร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบนายเกษม กลั่นยิ่ง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สกสค. และบอร์ดบริหารกองทุนฯ ช.พ.ค. มีพฤติการณ์ไม่โปร่งใส ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อนุมัติเงินกองทุนฯ ช.พ.ค. 2.1 พันล้านบาท ให้กับบริษัท บิลเลี่ยนฯ โดยไม่มีหลักประกันเงินกู้ที่ชัดเจน และบริษัท บิลเลี่ยนฯ ไม่สามารถคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยได้ จนถูกกล่าวหาว่า มีการเจตนายักยอกเงินกองทุนฯไปเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์กัน
จนนำไปสู่การเสนอข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก และฝ่ายตำรวจโดย กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร่งด่วน ต่อมาประมาณเดือน เม.ย. 2557 ‘เดอะบิ๊ก’ หรือนายสัมฤทธิ์ เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. (ขณะนั้น) กรณีถูกแจ้งข้อหาว่า สนับสนุนข้าราชการโดยมิชอบ และผิดระเบียบวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินของสำนักงาน สกสค.
และยืนยันว่า เมื่อปี 2556 ได้กู้ยืมเงินจากบอร์ดบริหารกองทุน ช.พ.ค. วงเงิน 2.1 พันล้านบาท เพื่อลงทุนธุรกิจโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ วงเงิน 6.5 พันล้านบาท โดยมี่ที่ดินแล้วที่ จ.เพชรบุรี 1,200 ไร่
‘เดอะบิ๊ก’ อ้างว่า มีอดีตบอร์ดบริหารกองทุนฯ ช.พ.ค. รายหนึ่ง ติดต่อขอนัดพบเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2557 ขอให้ล้มล้างบอร์ดบริหาร สกสค. เพื่อแลกกับการสนับสนุนเงินของกองทุน ช.พ.ค. ที่มีจำนวนหลายพันล้านบาท และเรียกเงิน 177 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อเอาตัวรอดให้ชีวิตปลอดภัย จึงรับปาก ต่อมาถูกทวงเงิน เมื่อปฏิเสธจึงถูกขู่ทำร้ายร่างกายและฆ่า จึงไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.วังทองหลาง และเข้าร้องเรียนที่ บก.ป. ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ข้อร้องเรียนของนายสัมฤทธิ์ ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลหลายประการ เช่น ถูกขู่ฆ่าเมื่อต้นปี 2557 แต่เพิ่งมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมเมื่อกลางปี 2557 ขณะที่งบการเงินของบริษัท บิลเลี่ยนฯ ไม่ระบุว่ามีที่ดินจำนวนดังกล่าว นอกจากนี้ การอนุมัติเงินให้กู้ยืมของบอร์ดบริหารกองทุน ช.พ.ค. ดังกล่าว จำนวนหลายพันล้านบาท ยังไม่ผ่านมติคณะรัฐมนตรีด้วย ?
ต่อมา ช่วงเดือน เม.ย. 2558 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารทรัพย์สิน และผลประโยชน์ของคุรุสภา สกสค. และองค์การค้าของ สกสค. กระทั่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สองหัวหอกหลักของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เข้าไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน จนพบพิรุธหลายประการ โดยเฉพาะประเด็นหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันส่วนใหญ่ไม่มีจริง
ทำให้ผู้บริหาระดับสูงใน สกสค. และคุรุสภาหลายรายถูกมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 สั่งให้ ‘พักงาน’ หลายสิบราย
นัยว่าเป็นการ ‘ล้างไพ่’ ผู้มีอิทธิพล และผู้ที่อาจมีส่วนร่วมกระทำความผิดมา ‘แขวน’ ไว้ก่อน เพื่อรอการตรวจสอบ ?
นำไปสู่การที่ ปปง. ดำเนินการอายัดทรัพย์สินรวม 133 รายการ มูลค่ากว่า 183 ล้านบาท ของบริษัท บิลเลี่ยนฯ กับพวก เนื่องจากพบว่า ทรัพย์สินดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ก่อนจะชงเรื่องต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษต่อ
พร้อมกับส่งสำนวนต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ (ต่อมาช่วงปี 2559 ดีเอสไอได้สรุปสำนวนให้อัยการฟ้อง ‘เดอะบิ๊ก’ กับพวก ในคดีผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกง ปลอม และใช้ตั๋วเงินปลอม มีการฝากขังนายสัมฤทธิ์ด้วยอย่างน้อย 12 วัน ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นศาล)
ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. ที่มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนช่วงปี 2558 (นายประสาท พงษ์สิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. ขณะนั้น เป็นประธานคณะอนุฯ) เบื้องต้นมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการระดับสูงใน สกสค. อย่างน้อย 5 ราย ได้แก่ นายเกษม กลั่นยิ่ง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ สกสค. นายสุรเดช พรหมโชติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สกสค. นายสุเทพ ริยาพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักสวัสดิภาพครู นางมยุรี ตัณฑวัล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.กลุ่มการเงินฯ และนายสำเริง รัชตเศรษฐ์ บอร์ด สกสค. กรณีกล่าวหาว่า อนุมัติเงินกองทุน ช.พ.ค. ให้กับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเท็ค กรุ๊ป จำกัด โดยนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ ‘เดอะบิ๊ก’ เป็นผู้กู้ยืมเงินจำนวน 2.1 พันล้านบาท ช่วง ธ.ค. 2556 ทั้งที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน และผู้กู้ยืมเงินมีฐานะทางการเงินไม่มั่นคง รวมทั้งไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในการชำระหนี้แต่อย่างใด
หลังจากนั้นช่วงต้นปี 2559 ปปง. มีมติอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้อีกอย่างน้อย 800 ล้านบาท โดยนายเกษม ถูกอายัดทรัพย์สินกว่า 400 ล้านบาท (ตามข้อมูลจากเลขาธิการ ป.ป.ช.)
ต่อมา ช่วงปี 2559 นายประสาท เกษียณอายุจากตำแหน่ง นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช. ถูกตั้งเป็นประธานอนุฯเพื่อสานต่อคดีดังกล่าว มีการเพิ่มชื่อผู้ถูกกล่าวหาอีก 23 ราย รวมเป็น 28 ราย ส่วนใหญ่เป็นบอร์ดบริการกองทุนฯ ช.พ.ค. และผู้บริหารระดับสูงใน สกสค. และบริษัท บิลเลี่ยนฯ กรรมการผู้จัดการบริษัท บิลเลี่ยนฯ และ ‘เดอะบิ๊ก’ ด้วย
นอกจากนี้ในปีเดียวกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีกล่าวหาผู้บริหารระดับสูงใน สกสค. ร่ำรวยผิดปกติ อย่างน้อย 3 ราย ได้แก่ นายเกษม กลั่นยิ่ง ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ 2.1 มีรีสอร์ทซึ่งกำลังก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านท่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 2.2 มีบ้านตั้งอยู่ที่ ต.บ้านท่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 2.3 มีคอนโดตั้งอยู่ที่หลังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล- พลาซ่า ปิ่นเกล้า 2.4 มีรีสอร์ทชื่อบ้านอบอุ่น 2.5 มีเงินสดเก็บไว้ที่บ้านของผู้ถูกกล่าวหา ที่ ต.บ้านท่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี หลายร้อยล้านบาท
นายสุรเดช พรมโชติ ร่ำรวยผิดปกติโดยมีทรัพย์สิน ดังนี้ 3.1 มีบ้าน 1 หลัง ราคาประมาณ 10 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ ต.บางวัว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา 3.2 มีหอพักชื่อพรหม ตั้งอยู่ที่ ต.บางวัว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา 3.3 มีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E250 CDI สีดำ จำนวน 1 คัน 3.4 มีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีขาว จำนวน 1 คัน 3.5 ซื้อบ้านให้ลูกชาย จำนวน 2 หลัง
นายสำเริง รัชตเศรษฐ์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สิน ดังนี้ 4.1 รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E200 CID สีบรอนด์ จำนวน 1 คัน 4.2 เป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร ตั้งอยู่ใกล้ โรงเรียนหนองบอน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 4.3 มีที่ดินเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
กระทั่งระยะเวลาล่วงเลยมาหลายเดือน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดคดีนี้ รวม 20 ราย
อย่างไรก็ดีเหมือน ‘มหากาพย์’ เรื่องนี้ยังไม่จบสิ้น
เพราะเลขาธิการ ป.ป.ช. (นายสรรเสริญ พลเจียก) ระบุว่า สาเหตุที่ชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง 20 ราย ส่วนอีก 8 ราย ไม่ได้กันไว้เป็นพยานแต่อย่างใด แต่ถูกไต่สวนในคดีเกี่ยวกับเงินกู้ ช.พ.ค. อยู่อีกอย่างน้อย 2 คดี
นั่นหมายความว่า คดีเกี่ยวกับเงินกู้ ช.พ.ค. มี 3 คดี คดีแรกคือคดีนี้ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดไปแล้ว เสียหายประมาณ 2.5 พันล้านบาท คดีที่สองคือการอนุมัติเงินกู้ ช.พ.ค. เสียหายประมาณ 500 ล้านบาท และคดีสุดท้ายเกี่ยวกับการออกระเบียบโดยมิชอบ
เท่ากับว่ายังเหลืออีกอย่างน้อย 2 คดี ที่ยังคาอยู่ในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.
ทั้งนี้เลขาธิการ ป.ป.ช. ยืนยันว่า อีก 2 คดี ป.ป.ช. จะดำเนินการ ‘ปิดจ็อบ’ ให้ได้ภายในปีนี้ หรืออีกราว 6 เดือนข้างหน้า
ส่วนจะทำได้จริงหรือไม่ และจะมีใครเกี่ยวข้องอีกบ้าง ต้องจับตาดูต่อไปอย่างใกล้ชิด !
อ่านประกอบ :
ชำแหละพฤติการณ์ 28 ‘บิ๊ก สกสค.’ ฉบับ ป.ป.ช.! พันปมปล่อยกู้ ช.พ.ค. 2.1 พันล.
ป.ป.ช.ขยายผล! สอบกราวรูด 28 ‘บิ๊ก สกสค.’พันปมปล่อยกู้เงิน ช.พ.ค. 2.1 พันล.
มีเงินสดหลายร้อยล.ที่บ้านชะอำ!ป.ป.ช.เปิดข้อกล่าวหา 'อดีตบิ๊กสกสค.'รวยผิดปกติ
ผ่าปมร้อนเงินกู้ช.พ.ค.2.1พันล."เดอะบิ๊ก"ยันถูกขู่ฆ่าเรียกสินบน ล้มบอร์ดสกสค.?
เบื้องหลังเกมไล่ล่า2 พันล.สกสค.คืน บีบแบงก์รับผิดชอบ อำพรางคดีช่วย ไอ้โม่ง?
ฐานธุรกิจหมื่นล."สัมฤทธิ์-พวก"ก่อนโดน ปปง.อายัดทรัพย์ พ่วง บิ๊ก สกสค.183 ล.
สุดบังเอิญ! หุ้นส่วน"เดอะบิ๊ก"ขนเงินพันล.เพิ่มทุนบ.อสังหา ที่แท้ลูกหนี้คลองจั่น 720 ล.
ปริศนาใหม่!"เดอะบิ๊ก"หอบเงิน 2.6พันล.ลงหุ้นบ.อสังหา หลังได้เงินสกสค. 2.1 พันล.
ตีเช็ค4ใบวันเดียว6.5พันล.!เส้นทางเงิน"เดอะบิ๊ก-พวก"ขนเพิ่มทุนบ.อสังหาปริศนา
ป.ป.ช.ตั้งอนุฯไต่สวนลุยสอบอดีตเลขาฯสกสค.ซื้อตั๋วเงินกว่า 2.5 พันล.มิชอบ
ล้างทุจริตสกสค.! ป.ป.ช.ลุยสอบปมลงทุนโรงไฟฟ้าฯ 2.1 พันล.ไม่คุ้มค่า
ศอตช.ตั้ง 2 ประเด็นสอบสกสค. อนุมัติ 2.1พันล.ให้เดอะบิ๊ก-สาวลึกเงิน "ขรก."