เปิดคำพิพากษาฎีกา รับฟ้อง "ธาริต"
ศาลฎีกา"สั่งรับพิจารณาคดี"อภิสิทธิ์-สุเทพ" ฟ้อง"ธาริต เพ็งดิษฐ์"อดีตอธ.ดีเอสไอ-ลูกน้อง ปฏิบัติหน้าที่มิชอบสรุปสำนวนคดีสลายม็อบ นปช.ปี 53 ชี้"ธาริต"คุมดีเอสไอต่ออีกปียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์น่าสงสัยทำหน้าที่สุจริต..?หลักฐานส่ออาจผิด 157
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2560 ที่ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.310/2556 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ในฐานะอดีตหัวหน้าชุดคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 , พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200
กรณีเมื่อเดือน ก.ค.54 - 13 ธ.ค.55 ดีเอสไอ ได้สรุปสำนวน นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่า และพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล จากการออกคำสั่ง ศอฉ.ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ซึ่งโจทก์ทั้งสอง เห็นว่าเป็นการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และดีเอสไอไม่มีอำนาจ ต้องเป็นการวินิจฉัยของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ เป็นการดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน กระทำไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่ มีเจตนาบิดเบือนแจ้งข้อกล่าวหา หรือกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด
ส่วนที่โจทก์ทั้งสอง ระบุว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองมีตำแหน่งทางการเมือง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจการสืบสวนสอบสวนของ ป.ป.ช.ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 นั้น ศาลเห็นว่า คดีที่จำเลยได้ดำเนินการทำสำนวนและส่งให้อัยการนั้น เป็นคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ฟ้องโจทก์ ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ ไม่ได้บิดเบือนหรือกลั่นแกล้ง จึงพิพากษายกฟ้อง
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ โจทก์ทั้งสอง ได้ยื่นฎีกา ขอให้ศาลสั่งรับคดี
ศาลฎีกา ได่ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ นั้น ใน ม.66 วรรคแรก บัญญัติว่า "ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเหตุอันควรสงสัยหรือผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวน" ดังนั้นจะเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้ชัดเจนว่า กรณีที่มีผู้กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น ให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริง และเมื่อเห็นว่า ข้อกล่าวหามีมูลให้ส่งสำนวนและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล
ทั้งนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุนายอภิสิทธิ์ โจทก์ที่ 1 ตำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนนายสุเทพ โจทก์ที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เพื่อต่อต้านรัฐบาลบีบบังคับให้นายอภิสิทธิ์ โจทก์ที่ 1 ยุบสภาหรือลาออก โดยการชุมนุมปิดกั้นกีดขวางการจราจรบนถนน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน มีการใช้อาวุธและมีกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้เจ้าหน้าที่ทหารที่จะเข้ามาใช้กำลังกระชับหรือขอคืนพื้นที่ชุมนุม ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ นายสุเทพ โจทก์ที่ 2 ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติการกระชับพื้นที่และขอคืนพื้นที่หลายฉบับ โดยอนุญาตให้มีการใช้อาวุธด้วยความระมัดระวังและเพื่อป้องกันชีวิตของตนหรือของผู้อื่น เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์ที่ 2 ก็มีการปะทะกัน มีการใช้อาวุธยิงทำร้ายเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและผู้ร่วมชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
ซึ่งการชุมนุมของคนจำนวนมากต่อต้านรัฐบาลมีกองกำลังติดอาวุธเข้าปะทะเจ้าหน้าที่ทหารหลายครั้ง คำสั่งของโจทก์ที่ 2 แต่ละฉบับเป็นการออกคำสั่งกำหนดแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารให้เป็นไปตามสถานการณ์ เช่น กำหนดให้เจ้าหน้าที่ทหารใช้กำลังอาวุธปืนยิงได้ในกรณีจำเป็นเพื่อป้องกันชีวิตตนและผู้อื่น การกระทำของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของโจทก์ที่ 2 เมื่อมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหารและกองกำลังติดอาวุธของผู้ร่วมชุมนุมและมีผู้ร้องขอให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสอง จึงมีการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็มีมติรับดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว
ส่วนที่ จำเลยที่ 1 กับพวกในฐานะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสืบสวนสอบสวนก่อนนั้นแล้วได้ความว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมีกองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถือเป็นคดีก่อการร้าย ต่อมาได้สรุปความเห็นส่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร กับพวกรวม 25 คน ในข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และเมื่อวันที่ 11 ส.ค.53 พนักงานอัยการ ได้ฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ กับพวกรวม 19 คน ในข้อหาร่วมกันก่อการร้ายต่อศาลชั้นต้น หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนรัฐบาล โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรองนายกรัฐมนตรี และมีการแต่งตั้งแกนนำกลุ่ม นปช. ที่เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ โจทก์ที่ 1 และถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีร่วมกันก่อการร้ายเป็นรัฐมนตรีและตำแหน่งทางการเมืองหลายคน จึงแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีกลุ่ม นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นแนวร่วม
ต่อมาวันที่ 17 ก.ค.55 ศาลอาญากรุงเทพใต้ทำการไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง แล้วมีคำสั่งว่า นายพัน เสียชีวิตจากการถูกกระสุนของเจ้าหน้าที่ทหาร ขณะที่ทหารกำลังปฏิบัติหน้ารักษาความสงบปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของ ศอฉ. และในวันที่ 19 ก.ค.55 ร.ต.อ.เฉลิม รองนายกฯ ขณะนั้น ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า คำสั่งศาลเรื่องการตายของนายพัน ศอฉ.ต้องรับผิดชอบและกล่าวต่อไปว่า ได้สั่งการไปยังนายธาริต จำเลยที่ 1 แล้ว การที่จำเลยทั้งสี่ได้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช.
และกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหารมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตขึ้นใหม่ และเรียกโจทก์ทั้งสองมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อปี 2555 ว่า นายสุเทพ โจทก์ที่ 2 กระทำละเว้นหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในการบริหารราชการแผ่นดินหรือตามกฎหมาย เป็นการกระทำร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลนั้น
โดยข้อเท็จจริงได้ความ การดำเนินคดีอาญาที่กล่าวหาโจทก์ทั้งสองดังกล่าว ดีเอสไอ ได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ค.53 แล้ว เนื่องจากเห็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นการยอมรับมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า คดีอาญาดังกล่าวอยู่ในอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช.
จึงเชื่อว่า จำเลยทั้งสี่และพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ย่อมทราบและเข้าใจบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้ว่าดีเอสไอทำการสอบสวนดำเนินคดีกับแกนนำและผู้ร่วมชุมนุม นปช. ในข้อหาก่อการร้าย โดยไม่ได้ดำเนินการสอบสวนโจทก์ทั้งสอง แต่ได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ได้ส่งเรื่องที่มีการกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสอง ร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นผลกลับมาให้ดีเอสไอ ทำการสอบสวนแยกต่างหากแต่อย่างใด
และหลังจากการเปลี่ยนรัฐบาล มาเป็นรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี แล้ว ร.ต.อ.เฉลิม รองนายกฯ สั่งการให้ดำเนินการแก่โจทก์ทั้งสอง โดยอ้างคำสั่งของศาลอาญากรุงเทพใต้ที่วินิจฉัยการตายของนายพัน เกิดจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งของ ศอฉ. โดยจำเลยทั้งสี่ ก็ได้สอบสวนและเรียกโจทก์ทั้งสองมารับทราบข้อเท็จจริงและข้อหา เป็นการสอบสวนให้ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเพื่อให้เห็นว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารเพียงฝ่ายเดียวมีอาวุธ กระทำต่อผู้ร่วมชุมนุม
แม้จำเลยทั้งสี่ จะสอบสวนและแจ้งข้อหากับโจทก์ทั้งสองโดยจำเลยทั้งสี่ เชื่อว่า มีอำนาจทำได้ตามกฎหมาย แต่ก็ต้องเป็นความเชื่อที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุจริต และการที่รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ให้นายธาริต จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอต่อไปอีก 1 ปี หลังจากหมดวาระที่จะต้องย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นแสดงให้เห็นว่า การทำหน้าที่ของนายธาริต จำเลยที่ 1 ในตำแหน่งเดิม สามารถตอบสนองความต้องการของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี จึงมีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่า จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่
แม้การสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ จะมีพนักงานอัยการ เข้าร่วมสอบสวน และต่อมาอัยการยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาล แต่ศาลจะต้องตรวจสอบว่ากระบวนการสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ได้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากการสอบสวนดังกล่าวกระทำโดยไม่ชอบกฎหมาย ย่อมมีผลให้พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ทั้งสองก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่หลักฐานที่บ่งชี้ว่าการสอบสวนและแจ้งข้อหาของจำเลยทั้งสี่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมาย
การกระทำของจำเลยทั้งสี่ ที่ได้สอบสวนและแจ้งข้อหาโจทก์ทั้งสอง ตามที่โจทก์ทั้งสองนำพยานหลักฐานเข้าไต่สวนมามีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ อาจเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ 200 ได้
ที่ศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงให้ประทับรับฟ้องคดี