ศาลอุทธรณ์เลื่อนอ่านคดีพันธมิตรบุกทำเนียบ
16 พ.ค. 60 - ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกรุกทำเนียบรัฐบาลปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 82 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 69 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 71 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 67 ปี, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 71 ปี อดีตแกนนำ พธม. และ นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 44 ปี อดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 365
ตามฟ้องโจทก์วันที่ 27 ธ.ค. 2555 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551ได้มีผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าว เป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินเพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ต่อมาหลังจากนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค. 2551
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2551 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ทำลายเครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลรวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยและระหว่างวันที่ 26 ส.ค.2551- 3 ธ.ค.2551 ซึ่งมีการจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล และมีผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย แล้วยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ, ระบบไฟสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า-หน้าตึกสันติไมตรีในความดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ขณะที่คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2558 เห็นว่าจำเลยทั้งหกกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 365 และ 83 การกระทำของจำเลยผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ คนละ 2 ปี ต่อมาจำเลยทั้งหกได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี
โดยในวันนี้ ศาลได้เบิกตัวนายสนธิ จำเลยที่ 2 จากเรือนจำบางขวางมาฟังคำพิพากษา เนื่องจากปัจจุบันนายสนธิถูกคุมขังในคดีต้องโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ส่วนนายพิภพ, นายสมเกียรติ, นายสมศักดิ์ และนายสุริยะใส จำเลยที่ 3-6 เดินทางมาศาล เนื่องจากได้ประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์คดี วงเงินคนละ 200,000 บาท ขณะที่ พล.ต.จำลอง จำเลยที่ 1 ไม่ได้เดินทางมาศาล
เมื่อถึงเวลานัด นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความได้แถลงพร้อมส่งใบรับรองแพทย์แสดงต่อศาลว่า พล.ต.จำลอง จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกไปก่อน เนื่องจากจำเลยป่วยหนัก เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระ ศาลสอบถามจำเลยที่เหลือแล้วไม่คัดค้าน อนุญาตให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปเป็นวันที่ 19 มิ.ย.2560 เวลา 9.00 น.
ด้านนายสุวัตร ให้สัมภาษณ์ว่า พล.ต.จำลองมีอาการป่วย เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระ ส่วนอาการป่วยอะไรนั้นแพทย์กำลังวินิจฉัยอยู่.