บ.เวลท์เอเวอร์ คดีลอยแพทัวร์ญี่ปุ่นเพิ่งก่อตั้ง ม.ค.60 ขายน้ำดื่ม ชา กาแฟ
พลิกข้อมูล บ.เวลท์เอเวอร์ ก่อนเกิดคดีลอยแพสมาชิกท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่งจดทะเบียนก่อตั้ง 25 ม.ค.60 ขายน้ำดื่ม ชา กาแฟ นายกฯ สั่งสอบ ตร.ลุย
กรณีบริษัทขายตรงแห่งหนึ่งอ้างว่าจะพาสมาชิกไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แต่กลับลอยแพสมาชิกนับพันคน จนเกิดนำสู่การแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกว่า 470 ราย
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 60 กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ได้ชี้แจงผ่านเพจเฟซบุ๊ก สคบ. กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ในขณะนี้ กรณีสมาชิกของบริษัทแห่งหนึ่ง ซื้อทัวร์และเดินทางด้วยเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำเพื่อไปท่องเที่ยวยังประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 11 ถึง 16 เมษายน 2560 ในราคาคนละ 13,130 บาท และได้จ่ายเงินซื้อทัวร์ ดังกล่าวไปแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาเดินทาง ปรากฏว่าไม่มีเที่ยวบินเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น ทำให้กลุ่มสมาชิกที่ซื้อทัวร์ตกค้างที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมาก และจากกรณีดังกล่าว มีการกล่าวอ้างว่าบริษัท ได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงกับทาง สคบ. นั้น
กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง ไม่พบว่าบริษัทดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจขายตรงจาก สคบ. แต่อย่างใด อีกทั้งการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการนำเที่ยว ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ซึ่งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ไม่สามารถรับจดทะเบียนให้ประกอบธุรกิจขายตรงได้( http://www.komchadluek.net/news/crime/271065, https://www.facebook.com/ocpb.official/?fref=ts)
ในเฟชบุคของ กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ได้ระบุชื่อ บริษัท WEALTHEVER เป็นผู้พาสมาชิกไปต่างประเทศและเกิดปัญหา
จากการตรวจสอบข้อมูกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด (WEALTHEVER COMPANY LIMITED) จดทะเบียนวันที่ 25 ม.ค.2560ทุน 2 ล้านบาท ประกอบกิจการและจำหน่าย นำเข้า-ส่งออก น้ำดื่ม ชา กาแฟ ที่ตั้งเลขที่ 88/6 หมู่ที่ 9 ตำบลหนองยาว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศเป็นกรรมการ ไม่พบชื่อ น.ส.พสิษฐ์ เป็นกรรมการบริษัทอื่น
ขณะที่การดำเนินคดีของของพนักงานสอบสวนพล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า ถือได้ว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1000,000 บาท แต่ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน และขอประชาสัมพันธ์ผู้ได้รับความเสียหายให้ไปแจ้งความร้องทุกข์ยังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุในต่างจังหวัด เบื้องต้นมีผู้เสียหายประมาณ 500 คน สอบสวนปากคำไปแล้วประมาณ 40 คน จะได้นำส่งเอกสารสำนวนการสอบสวนไปยัง บก.ป. พร้อมตัวผู้เสียหาย ในวันนี้ (12 เม.ย.) ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีนี้ คาดว่าใช้เวลาไม่นานก็สามารถนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทางด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการตรวจสอบด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์