ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้ 'นโยบายเรียนฟรี 15 ปี' ไม่ดีจริง-ขัด รธน.
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้ 'นโยบายเรียนฟรี 15 ปี' ไม่ดีจริง-ขัด รธน. เสนอแก้ ม. 49 จัดให้มีการเรียนอย่างทั่วถึง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่น้อยกว่า 9 ปีแทน
วันที่16 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศ.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงข่าวภายหลังการประชุมอภิปรายผลการวิจัยเรื่อง “นโยบายเรียนดีเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ” ที่ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มอบหมายให้นาวาตรีหญิง ดร.กิตติยา เอ็ฟฟานส์ นักวิชาการอิสระ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ซึ่งผลศึกษาพบว่านโยบายดังกล่าว ไม่ฟรีจริง ไม่ดีจริง ด้อยคุณภาพ อีกทั้งยังขัดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 49
“การวิจัยดังกล่าวมาจากสมมติฐานที่ว่า ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มีการเรียนฟรีจริง และมีคุณภาพหรือไม่ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาจากสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นผู้มีบทบาทต่อการปฏิรูปการศึกษาไทยตั้งแต่ พ.ศ.2542 มาร่วมหารือ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การศึกษาในช่วงหลังการปฏิรูปนั้น ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง”
ศ.ศรีราชา กล่าวต่อว่า สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) พบว่า คะแนนวิชาหลักของนักเรียนทั้ง 3 ช่วงชั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งคะแนนของนักเรียนทั้ง 3 ช่วงชั้นและทุกวิชามีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าครึ่ง ส่วนการประเมินรอบสองของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องคะแนนจากโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติ (PISA) พบว่าช่วง 3 ปีก่อนประกาศนโยบายเรียนฟรี 15 ปี คะแนนของทั้ง 3 วิชา มีแนวโน้มลดลง และเริ่มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในการทดสอบครั้งสุดท้าย ขณะที่ผลการจัดอันดับด้านการศึกษาจากสถาบัน IMD พบว่าคุณภาพผู้เรียนไม่ดีขึ้น มีแนวโน้มลดต่ำลงหลังจากที่ใช้นโยบายนี้ มีเพียงผลการประเมินจากกระทรวงศึกษาธิการของไทยเท่านั้นที่ชี้ว่าผู้เรียนมี คุณภาพที่ดีขึ้น 7 ใน 8 กลุ่มสาระวิชา
ศ.ศรีราชา กล่าวถึงงบประมาณที่รัฐช่วยในเรื่องอุปกรณ์การเรียนเครื่องแบบและหนังสือเรียนว่า ไม่ได้ทำให้เรียนดีขึ้น และประเด็นสำคัญคือ ผู้ปกครองมีความเข้าใจว่า “เรียนฟรี” หมายถึง ฟรีทุกรายการ ในขณะที่รัฐบาลนิยามการเรียนฟรีเพียง 5 รายการ คือชุดเครื่องแบบนักเรียน หนังสือเรียน 8 กลุ่มสาระ อุปกรณ์การเรียน กิจกรรมการพัฒนาผู้เรียน และเงินค่าเล่าเรียน โดยที่ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายแฝงอื่นที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่ม อาทิ ค่าแอร์ ค่าเรียนเสริมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทั้งฝ่ายครูและผู้ปกครองเห็นว่านโยบายนี้ไม่ทำให้เด็กเรียนดีขึ้น และไม่ได้ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองจริง เพราะยังต้องจ่ายเพิ่มตามรายการที่โรงเรียนขอรับการสนับสนุน
“ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ การบริหารจัดการของกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่สามารถทำให้ทรัพยากรที่จัดสรรเป็นจำนวนมากทั้งอุปกรณ์การศึกษาและครูต่าง ๆ ไม่สามารถทำให้เด็กประสบผลสำเร็จในการเรียน ซึ่งจะเป็นปัญหาในอนาคตอย่างมาก ถ้าหากเราต้องเข้าสู่ข้อตกลงของอาเซียนในปี 2558 เด็กของเราไม่เก่งและไม่พร้อม เราก็อาจจะถูกแย่งในเรื่องการจัดจ้างงาน สูญเสียโอกาสให้กับต่างชาติ ฉะนั้น กระทรวงศึกษาธิการควรจะทบทวนการศึกษาทั้งระบบ ปล่อยให้โรงเรียนจัดการศึกษาเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยที่การเมืองต้องไม่เข้าไปยุ่งกับการจัดระบบการศึกษา เพราะจะกลายเป็นเรื่องของประชานิยม สร้างปัญหาเชิงซ้อนมากขึ้น”
ทั้งนี้ ศ.ศรีราชา กล่าวด้วยว่า เห็นควรให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่บัญญัติว่ารัฐต้องจัดการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี อย่างทั่วถึง มีคุณภาพและไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพราะการปฏิบัติจริงในขณะนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญ โดยแก้ไขถ้อยคำเป็นรัฐต้องจัดให้มีการเรียนอย่างทั่วถึง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่น้อยกว่า 9 ปี ซึ่งจะเป็นการเปิดกว้างว่าในกรณีที่มีความพร้อมเรื่องงบประมาณ หากมีจำนวนมากก็สามารถจัดได้เกินกว่า 9 ปีขึ้นไป ซึ่งที่ประชุมมีข้อเสนอให้รัฐจัดการศึกษาฟรีตั้งแต่ประถมวัยถึงการศึกษาภาคบังคับ นัยยะก็คือ 12 ปีนั่นเอง ซึ่งทั้งหมดที่ได้ทำเป็นข้อเสนอนั้น จะรวบรวมและนำเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและสาธารณชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปภายในสองสัปดาห์
วันเดียวกัน หลังจากมีการแถลงข่าว ศ.ศรีราชา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาตรวจสอบกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการได้มีแนวนโยบายเกี่ยวกับการรับนักเรียนเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยจะเปิดห้องรับเด็กฝากโดยเฉพาะ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อจากเงินแป๊ะเจี๊ยะเป็นเงินบริจาคว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่บัญญัติให้บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อายุ เพศ ความพิการสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม รวมทั้งการศึกษาอบรมหรือไม่
ทั้งนี้ ศ.ศรีราชา ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้พิจารณา พร้อมระบุว่าหากพบว่านโยบายดังกล่าวผิดรัฐธรรมนูญ จะต้องหยุดดำเนินการทันที