บันทึกปากคำจากพื้นที่ เกิดอะไรขึ้นกับ 'ชัยภูมิ ป่าแส'
การจากไปของ 'ชัยภูมิ ป่าแส' เยาวชนนักกิจกรรมชาวลาหู่ กับคำถามถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่เกินเหตุหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่นักกิจกรรมอย่าง 'จะอุ๊' จะกลายเป็นนักค้ายา พกอาวุธสงคราม ฟังปากคำจากชาวบ้านในพื้นที่ ก่อนชีวิตหนึ่งจากปลิวหายไป
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของ ชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมลาหู่ได้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทันทีที่มีข่าวว่า เขาโดนเจ้าหน้าที่ทหาร ฉ.ก.ม.5 วิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560 ที่ด่านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
จากรายงานข่าว และข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐระบุว่า ร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม 5 ร่วมกับชสท.ที่ 9 กองกำลังผาเมือง ที่ด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง ได้ขอตรวจค้นรถยนต์ฮอนด้าแจ๊สสีดำและพบยาบ้า จำนวนรวม 2,800 เม็ด นายชัยภูมิซึ่งนั่งข้างคนขับต่อสู้โดยหยิบมีดขึ้นมา วิ่งหนีไปทางป้อมตำรวจเก่า บ้านอรุโณทัย เมื่อเจ้าหน้าที่ติดตามไป นายชัยภูมิควักระเบิดมาจะขว้างใส่ จึงยิงตอบโต้และเสียชีวิต นั่นคือปากคำจากฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต่อมานักกิจกรรม นักสิทธิ ภาคประชาสังคมต่างออกมาตั้งข้อสังเกตของการกระทำดังกล่าว
กระทั่งในเช้าวันที่ 20 มีนาคม สื่อหลายสำนักรายงานถ้อยแถลง ของพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้กระทำการที่เกินกว่าเหตุในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ว่า จากการสอบถามข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นไปในลักษณะที่สุดวิสัย เนื่องจากผู้ต้องสงสัยมีพฤติกรรมต่อสู้ขัดขืน และพยายามที่จะทำร้ายโดยประสงค์ต่อชีวิตเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องป้องกันตัว เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนประจำกายยิงออกไป เพื่อจะหยุดการกระทำและเพื่อเป็นการป้องกันตัวจำนวน 1 นัด จึงเป็นเหตุให้นายชัยภูมิ ป่าแส เสียชีวิต
โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทุกคนยึดมั่นในหลักปฏิบัติที่จะพยายามดำเนินการใดๆ ด้วยวิธีที่ละมุนละม่อม หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงให้ได้มากที่สุด กรณีจะใช้อาวุธต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมาเฟสบุ๊คของไมตรีจำเริญสุขสกุล ได้โพสต์อาลัยครั้งสุดท้าย ก่อนทำพิธีฝั่งศพตามประเพณีท้องถิ่นที่สุสานชุมชน ขณะที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวในพื้นที่บ้านกองผักปิ้งต.เมืองนะ อ .เชียงดาว จ .เชียงใหม่ โดยสามารถลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้
เช้าวันที่ 1 7 มีนาคม 2560 ชัยภูมิพาเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันที่ตัวเมืองเชียงดาวมาที่บ้าน ของไมตรี จำเริญสุขสกุล กลุ่มรักษ์ลาหู่ เพื่อดูรายละเอียดอุปกรณ์สำหรับจะเดินไฟบ้านให้ไมตรี หลังจากนั้น นายชัยภูมิกับเพื่อนที่ทราบชื่อภายหลังคือ พงศนัย แสงตะหล้า (ยิว) จึงออกไปราว 8.30 น. และ ในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ชัยภูมิโพสต์บนเฟสบุ๊คว่า ไปเที่ยวที่พระธาตุ (อยู่แถวบ้าน) กับเพื่อน
ข้อมูลจากเพื่อนผู้หญิงของชัยภูมิ ซึ่งอาศัยอยู่ที่ตัวอำเภอเชียงดาว ระบุว่า ได้มาเที่ยวบ้าน กองผักปิ้ง พร้อมกับพงศนัยและชัยภูมิ และกลับไปในวันที่ 16 มีนาคม โดยมีชัยภูมิกับพงศนัยขับรถไปส่ง แต่ตนลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนรถ จึงได้นัดกับชัยภูมิว่าจะมาพบกันในเมืองเพื่อเอากระเป๋าสตางค์มาคืน
ในวันที่ 17 มีนาคม ในเวลาราว 11 .00 น. ฉันทนา ป่าแส ลูกพี่ลูกน้องของชัยภูมิกำลังเดินทางกลับบ้านจากธุระ เชียงใหม่และผ่านด่านรินหลวง พบว่า มีการกั้นส่วนหนึ่งของด่านไว้และเห็นรถของชัยภูมิจอดอยู่ มีทหารตำรวจอยู่เต็มไปหมด มีเจ้าหน้าที่ใส่สูทและผู้หญิงใส่กระโปรง (ทราบทีหลังว่าแนะนำตัวว่าเป็น อัยการ) และหมอใส่เสื้อกาวน์สีขาว เธอสอบถามจากคนที่อยู่บนรถอีกคันที่จอดดูอยู่ เขาบอกว่า ทหารยิงคนส่งยา ในตอนนั้นฉันทนาเห็นเพื่อนของชัยภูมิและศพถูกคลุมผ้าไว้ไกล ๆ จึงรีบโทรศัพท์กลับบ้าน และก็พบว่า ยังไม่มีใครทราบเรื่อง
ฉันทนา โทรศัพท์บอกพี่สาวที่ทำงานอยู่ในอำเภอหางดง (ไพรนภา ป่าแส)
ไพรนภารีบโทรศัพท์ถามคนในหมู่บ้านเช่นกัน คนในหมู่บ้านนั้นจึงได้โทรศัพท์บอก ไมตรี เพราะไมตรีเป็นเสมือนพี่ชายที่ดูแลชัยภูมิมาตลอดแทนแม่และพ่อเลี้ยง
ไมตรีเดินทางไปถึงด่านรินหลวงราวเที่ยง มีทหารตำรวจมากมาย 30-40 คน ทหารให้นั่งรอฝั่ง ตรงข้ามป้อมตำรวจร้าง ไมตรีพยายามจะเข้าไปดู เห็นศพอยู่หลังป้อมตำรวจในระยะไกล ๆ ประมาณ 200- 300 เมตร แต่ทหารกั้นเอาไว้และมีการโต้เถียงกัน
จากนั้นมีทหารที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าหน่วยเข้ามาคุย อย่างสุภาพว่า เขาเสียใจ ไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่ชัยภูมิต่อสู้และจะขว้างระเบิดใส่ คนของเขาจึงต้องยิง ไม่ได้เป็นการเล็งยิงให้โดนจุดสำคัญ จะให้โดนมือ แต่พลาดไปโดนอวัยวะสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ทหารได้เข้าตรวจค้นบ้านของชัยภูมิที่บ้านกองผักปิ้ง ฉันทนาซึ่งกลับมาจากด่านแล้วได้สอบถามว่า มีการยิงอะไรที่ด่าน ทหารตอบว่า ไม่มีการยิงอะไรเลย ใครเป็นคนบอก ไม่มีการยิง จากนั้นพ่อเลี้ยงของชัยภูมิได้พาทหารไปที่บ้านของไมตรี เนื่องจากชัยภูมิมักมานอนบ้านของไมตรี เมื่อไมตรีทราบข่าวว่า ทหารจะไปค้นบ้านจึงรีบกลับ แต่เมื่อถึงบ้านทหารก็กลับไปแล้ว
ส่วนฉันทนานั้นได้กลับมาที่ด่านรินหลวงอีกครั้งราวบ่าย ซึ่งศพไม่อยู่บริเวณนั้นแล้ว อัยการกับตำรวจแจ้งเธอว่า ให้ไปรับศพน้องที่โรงพยาบาลนครพิงค์ราวบ่ายโมง และไม่ต้องเป็นห่วง จะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
ข้อมูลเบื้องต้นจากแพทย์นิติเวชฯ แจ้งกับญาติในวันที่ 18 มีนาคมว่า ชัยภูมิถูกยิงเข้าด้านข้าง ของต้นแขนซ้ายด้วยปืน M16 กระสุนเข้ารูเล็ก ทะลุออกใหญ่ที่ต้นแขนและเข้าที่ลำตัวพบกระสุนแตกอยู่ในตัว และยังไม่ทราบระยะยิงเนื่องจากไม่มีความเชี่ยวชาญกับอาวุธความเร็วสูงแบบ M16 รายงานการ ชันสูตรศพฉบับเต็มนั้นยังไม่เสร็จ และแพทย์แจ้งว่าจะต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน
ในวันที่ 19 มีนาคม ชาวบ้านพาแม่ของชัยภูมิไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนาหวาย ได้รับทราบ จากตำรวจว่า มีบันทึกประจำวันว่า นายไมตรี ซึ่งเป็นญาติของชัยภูมิ ได้รับทราบข้อมูลจากทหารแล้ว และได้อนุญาตให้มีการชันสูตรศพเบื้องต้นที่ด่านแล้ว
ซึ่งไมตรีบอกว่า ไม่ได้อนุญาต ไม่ได้มีการถามเรื่องนี้ และเขาไม่ได้มีโอกาสเห็นศพเลย
ข้อสงสัยของชาวบ้าน ได้แก่ จริงหรือไม่ที่ชัยภูมิจะขนยาบ้าในวันเกิดเหตุ
จริงหรือไม่ที่ชัยภูมิจะมีอาวุธระเบิด อีกทั้งยังกล้าถือระเบิดต่อสู้สมควรหรือไม่ที่จะวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิจากเหตุการณ์ดังกล่าว
จริงหรือไม่ที่คนจะส่งยาโดยเอายาซ่อนไว้ในรถและขับผ่านด่านถาวร ซึ่งทราบกันดีว่า มีฉ.ก.ม.5 ตรวจจับยาเสพติด และข้อสงสัยที่ว่ายาบ้าที่ทหารนำมาแสดงให้ดูนั้นหีบห่อเป็นยาบ้าของกลุ่มว้า (รัฐฉาน ประเทศพม่า) ซึ่งมีราคาแพง ในขณะที่ยาบ้าจากกลุ่มลาหู่ (รัฐฉาน ประเทศพม่า) ซึ่งอาจมีการจ้างคนส่งยาเป็นชาวลาหู่ จะเป็นอีกแบบหนึ่งและราคาถูกกว่า
ปากคำจากชาวบ้าน ท่ามกลางความมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วใครจะเป็นคนตอบคำถามเหล่านี้ หรือเรื่องนี้จะกลายเป็นหนึ่งในอีกหลายๆ กรณีที่สุดท้ายจะเงียบหาย ราวกับไม่เคยเกิดขึ้น คำตอบจากโฆษกกองทักบกจะเพียงพอต่อความยุติธรรมในเรื่องนี้หรือไม่
ชัยภูมิ ป่าแส หรือ "จะอุ๊" ชาวลาหู่วัย 17 ย่าง 18 ปี ถือบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทาง ทะเบียน (บัตรเลข 0 ) ที่ระบุว่า อายุ 21 ปี เนื่องจากความผิดพลาดของข้อมูลตั้งแต่การสำรวจ
จะอุ๊ กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเชียงดาววิทยาคม ตั้งแต่เด็กเล็ก ชัยภูมิเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มรักษ์ลาหู่ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการรวมกลุ่มเยาวชน ในกิจกรรมศิลปวัฒนธรรม เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ และกิจกรรมวัฒนธรรมอื่น ๆ เพื่อให้ห่างไกลยาเสพติด
ผลงานเพลงของชัยภูมิ ได้แก่ เพลงเพื่อคนไร้สัญชาติ ชื่อ “จงภูมิใจ” ผลงานภาพยนตร์สั้น ได้แก่ การเป็นทีมงานภาพยนตร์เรื่อง “เข็มขัดกับหวี” (รางวัลช้างเผือกพิเศษดีเด่น เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 16 จัดโดยมูลนิธิหนังไทย) และ "ทางเลือกของจะดอ" (รางวัลชมเชยรัตน์ เปสตันยี จากเทศกาลเดียวกัน) รวมถึงร่วมเป็นทีมงานในสารคดีที่ผลิตโดยกลุ่มรักษ์ลาหู่ เช่น รายการบ้านเธอก็บ้านฉัน ออกอากาศทาง ช่องไทยพีบีเอส
นอกจากนี้ ชัยภูมิยังได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูการเต้นแจโก่ของชาวลาหู่จนได้รับการ ยอมรับในหมู่บ้าน เป็นผู้นำคณะเด็กและเยาวชนกลุ่มรักษ์ลาหู่จากบ้านกองผักปิ้งออกแสดงในหลาย พื้นที่
ล่าสุดได้ร่วมกับศิลปินญี่ปุ่นจากเมืองโอซากาทำนิทานเพลงเรื่องขนมออฟุและตำนานภาษาลาหู่ มาจัดแสดงในงาน ดี ต่อ ใจ ณ แพร่งภูธร เมื่อวันที่ 11-12 มีนาคม 2560
ในด้านสังคมชัยภูมิเป็นหนึ่งในกำลังเยาวชนที่ร่วมรณรงค์เรียกร้องการแก้ปัญหาภาวะไร้สัญชาติของคนชาติพันธุ์ เป็นแกนนำในการจัดค่ายเยาวชนชนเผ่าและได้รับเลือกเป็นประธานเครือข่าย ต้นกล้าเยาวชนพื้นเมือง และเป็นตัวแทนเครือข่ายฯ เข้าร่วมในการประชุมสัมมนาในระดับประเทศมาหลายครั้ง
ชัยภูมิเคยให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งว่า เขาเติบโตมาในหมู่บ้านที่แวดล้อมด้วยปัญหายาเสพติดและเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน การร่วมกิจกรรมกับรักษ์ลาหู่ได้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป ห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย ได้มีโอกาสเอาใจใส่เลี้ยงดูน้องชายและแม่มากขึ้น เขามีความฝันอยากให้เด็กๆ ในหมู่บ้านมีชีวิตที่ดี อยากเรียนจบปริญญาตรีและกลับมาเป็นครูสอนหนังสือเด็กในหมู่บ้าน
วันนี้ฝันของเขาคงกลายเป็นเพียงฝัน เมื่อชีวิตหนึ่งถูกปลิดปลิว ลอยไปราวกับใบไม้ร่วงหล่น แต่เพื่อความยุติธรรม หลายฝ่ายได้ออกมาเรียกร้องขอให้มีการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งยังขอให้สื่อมวลชนจับตาเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้ชีวิตน้อยๆ ของเด็กนักกิจกรรม ซึ่งเป็นทั้งความหวังของพี่น้องชาวลาหู่ และตัวอย่างของเยาวชนนักพัฒนา ต้องจากไปอย่างไร้คำตอบ
หมายเหตุ
1.) พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดจริง เด็กวัยรุ่นหลายคนเคยทดลองใช้ยาและรู้จักว่า ยาบ้ามีหลายประเภท หีบห่อต่างกันอย่างไร
2.) ด่านรินหลวงเป็นสถานที่จอแจ บริเวณนั้นมีศาลาพักรอรถโดยสาร มีแม่ค้าขายของ บ้านชาว บ้านและไม่ไกลจากโรงเรียน
3.) เมื่อวันที่1 5 กุมภาพันธ์2560 เวลาประมาณ 14.30 น. ฉ.ก.ม. 5 ได้วิสามัญนายอะเบ แซ่หมู่ อายุ3 2 ปี ชาวลีซูรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาวเช่นกัน โดยอ้างว่าผู้ตายมีเฮโรอีนและอาวุธ ระเบิดรวมถึงต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ เหตุเกิดที่ถนนลูกรังไร่ข้าวโพด
ภาพประกอบจาก