คลังบี้สรรพากรรีดภาษีแม้วก่อน31มีนาฯ
คลังบี้สรรพากรรีดภาษีแม้ว ก่อน31มีนาฯ ไฟเขียวฟันจนท.ละเว้นฯ วิษณุรู้แล้วใครต้องรับผิด
รมว.คลังสั่งสรรพากรเรียกเก็บภาษีจาก“ทักษิณ”กรณีขายหุ้นชินคอร์ป 1.6 หมื่นล้าน ให้ได้ก่อนหมดอายุความ 31 มีนาคม เล็งตั้งกก.สอบเจ้าหน้าที่ หากพบต้องสงสัยละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ด้าน“วิษณุ”สั่งเร่งตรวจสอบ เปรยพบ3ประเด็นสำคัญแต่ยังบอกไม่ได้ เผยรู้ตัวคนต้องรับผิดชอบแล้ว พร้อมเล็งหาช่องขยายอายุความ
จากกรณีคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่มีนายประภาศ คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานมีมติไม่ขยายเวลาดำเนินการตามมาตรา 19 ประมวลรัษฎากรในการออกหมายเรียกจาก 5 ปีแก่ผู้ยื่นแบบเสียภาษีแต่เสียภาษีไม่ครบได้ ส่งผลให้กรมสรรพากรไม่มีอำนาจเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีประมาณ 16,000 ล้านบาท กรณีขายหุ้น บมจ.อินทัช หรือบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ให้บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด ซึ่งจะครบกำหนดอายุความวันที่ 31 มีนาคม
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเรื่องนี้ว่า ได้สั่งการให้กรมสรรพากรดำเนินการเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ทันก่อนหมดอายุความประเมินภาษีวันที่ 31 มีนาคมนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่หยุดไม่ได้ ต้องทำเต็มที่ โดยต้องไปหาช่องทางหรือวิธีการให้รอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมาย ถึงแม้จะมีปัญหาขยายเวลาการออกหมายเรียกไม่ได้ จนทำให้สรรพากรไม่มีอำนาจประเมินภาษี ทางกรมก็ต้องหาช่องทางกฎหมายอื่น แต่ถ้าประเมินและเรียกเก็บภาษีไม่ทัน กรมก็ต้องชี้แจงให้ได้ว่าเพราะอะไร ส่วนที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ระบุถึงแนวทางเรียกภาษีมีหลายแนวทางที่ทำได้เลยคือ ใช้มาตรา 61 ของประมวลรัษฎากร กรมก็ต้องไปดูข้อกฎหมายว่าเป็นอย่างไร
รมว.คลังยังกล่าวถึงการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ไม่ออกหมายเรียกและประเมินภาษีกับนายทักษิณว่า ถ้าพบท่าทีต้องสงสัยในการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ก็ต้องตั้งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าละเว้นปฎิบัติหน้าที่หรือไม่
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเรียกเก็บภาษีเงินได้ จากนายทักษิณกรณีขายหุ้นบริษัท ชินคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน)ว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมาเชิญกรมสรรพากรและผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุยแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งตนรับทราบแล้ว ส่วนรายละเอียดอย่างอื่นให้กรมสรรพากรชี้แจงตามที่เคยปฏิบัติมา ถ้าผิดไปจากที่เคยปฏิบัติถือว่าทำไม่ถูก แต่ปัญหาคือ สิ่งที่เคยปฏิบัติใช่หรือไม่ ถ้ามีคำพิพากษาถือว่าหมดเรื่อง แต่ถ้าไม่มีคำพิพากษาก็ยังเคลือบแคลงอยู่ แต่อย่าด่วนสรุปอยู่ระหว่างตรวจสอบรอให้ชัดเจนก่อน อย่างไรก็ตาม ได้แจ้งให้กรมสรรพากรทราบว่า ถ้ามีปัญหาติดขัดให้หารือและรายงานให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ทราบทุกระยะ
ส่วนกรณีอายุความการเรียกเก็บภาษีจะหมดในสิ้นเดือนมีนาคม รองนายกฯกล่าวว่า ตนทราบ แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และความจริงก็ให้ไปตรวจสอบแล้ว พบมีอยู่ 3 ประเด็น แต่ไม่เปิดเผย ถ้ามีอะไรคืบหน้ารัฐบาลจะชี้แจงให้ทราบ ส่วนหากเรียกเก็บไม่ทันจะมีช่องทางขยายระยะเวลาหรือไม่ กำลังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูอยู่
“สำหรับผู้ที่ต้องรับผิดชอบ เรารู้ตัวแล้วว่าเป็นใครในสมัยนั้น แต่ต้องรับผิดชอบหรือไม่ กำลังให้เขาดูอยู่ เพราะถ้าเขาเชื่อว่าทำไปโดยสุจริต ไม่มีอะไรแอบแฝง ความรับผิดชอบก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าเราไม่เชื่อว่าเขาทำโดยสุจริต และมีอะไรแอบแฝง และมีการสั่งการทำให้ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ก็ต้องมีการสอบสวนกัน”นายวิษณุกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปี 2550-2555 เป็นการคาบเกี่ยวตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอธิบดีกรมสรรพากรอยู่ในตำแหน่งช่วงเวลาดังกล่าวคือ นายศานิต ร่างน้อย ระหว่างเดือนมกราคม 2550-2551) นายวินัย วิทวัสการเวช ระหว่างเดือนตุลาคม 2551-กันยายน 2553 และนายสาธิต รังคสิริ ระหว่างเดือนตุลาคม 2553-2556