เปิดโพลวาเลนไทน์ พบปัญหาคู่รักเจ้าชู้-คบซ้อน-นอกใจสูงสุด ถูกมองเป็นสมบัติสามี
เปิดโพลรับวาเลนไทน์ พบปัญหาคู่รักเจ้าชู้-คบซ้อน-นอกใจสูงสุด ชี้เกือบครึ่งถูกมองเป็นสมบัติสามีและบังคับมีเพศสัมพันธ์ 'มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล' รณรงค์ชูแนวคิดรักไม่ใช่การครอบครอง ด้านหญิงถูกกระทำเผยถูกทารุณ ทำร้าย กักขัง ข่มขู่ แนะการประคองรักไม่ใช่ทางออก
วันที่ 10 ก.พ. 2560 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันวาเลนไทน์ประจำปี 2560 ชูแนวคิด “รักไม่ใช่การครอบครอง” ภายในงานมีการแสดงละครเพื่อสะท้อนมุมมองความรักเรื่อง “ฉากสุดท้ายในรักที่ต้องการครอบครอง”
นายสิทธิศักดิ์ พนไธสงค์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นเนื่องในวันวาเลนไทน์ ต่อสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวและคู่รัก จากกลุ่มผู้หญิง อายุ 17 - 40 ปี จำนวน 1,608 ตัวอย่าง สำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 27 ม.ค.–2 ก.พ. 2560 พบกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มองว่าไม่จำเป็นที่วันวาเลนไทน์ต้องแสดงความรักเพราะสามารถทำได้ทุกวันอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงมุมมองความรัก พบว่า เกินครึ่ง หรือ 76.8% มองว่า ผู้หญิงต้องรักเดียวใจเดียว ขณะที่ 47.9% มองว่าผู้ชายควรเป็นผู้นำครอบครัว 43.3% ภรรยา/คนรักที่ดีต้องเชื่อฟัง เอาอกเอาใจ 40.3% รักต้องครอบครองผู้หญิงเปรียบเป็นสมบัติสามี นอกจากนี้ 20.8% มองว่าผู้ชายมีอะไรกับคนรักแล้วไม่ป้องกัน นั่นแสดงถึงความไว้วางใจ และ 18.2% มองว่าการหลับนอนกับสามี/คนรัก ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
“ที่น่าห่วงคือคู่รักที่เคยเจอทั้งกับตัวเอง เพื่อน คนรู้จัก ยังคงเป็นปัญหาแฟนเจ้าชู้ คบหลายคน นอกใจ เคยถูกคู่รักกักขังหน่วงเหนี่ยว ถูกดุด่า พูดจาหยาบคาย ส่งเสียงดัง ถูกทำร้ายร่างกาย เช่น ตบหน้า ทุบตี ข่มขู่คุกคามให้หวาดกลัว ประจาน ที่สำคัญพบกว่า 42.2% ล่อลวงหรือบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ และ 41.1% ถูกบังคับให้ทำแท้ง สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในคู่รัก คือ การนอกใจ หึงหวง หวาดละแวง การใช้ยาเสพติด การดื่มสุรา การไม่ให้เกียรติกัน และพฤติกรรมติดสื่อโซเชียล” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลปัญหาความรุนแรงในคู่รักเกิดมาจากทัศนคติการมองความรักเป็นการใช้อำนาจ การแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ มองว่าผู้หญิงเป็นสมบัติของคนรัก ล้วนมาจากทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ คนในสังคมจึงควรปรับเปลี่ยนมุมมองความรัก ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ความสำคัญกับความรัก ให้เกียรติกัน เข้าใจกัน แบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน เช่น ผู้ชายช่วยงานบ้าน เลี้ยงดูลูกได้
ในส่วนของปัจจัยกระตุ้นจากการใช้สารเสพติด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือว่ามีส่วนสำคัญทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงและลุกลามบานปลาย ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรมุ่งประเด็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ในเทศกาลวาเลนไทน์เพียงอย่างเดียว แต่ควรมีมาตรการรับมือปัญหาจากปัจจัยกระตุ้นอย่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ขณะเดียวกันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรรณรงค์สร้างความรักในนิยามใหม่ ที่เน้นความเข้าใจ การเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายผู้หญิง เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการควรปรับหลักสูตรเน้นการเรียนการสอน “มิติบทบาทหญิงชาย” เพื่อสร้างทัศนคติตั้งแต่วัยเด็กให้เข้าใจความรักในแบบที่มีความเคารพสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ
นางสาวเอ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี ผู้ที่เคยถูกอดีตสามีกระทำความรุนแรง กล่าวว่า อยู่กินกับฝ่ายชายมากว่า 7 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน ฝ่ายชายมีพฤติกรรมหึงหวง ไม่ให้เกียรติ มองว่าตัวเองเป็นใหญ่ในบ้าน มักมีปากเสียงกันเป็นประจำ ชอบทำร้ายร่างกาย ทุบตี และกักบริเวณ กระทั่งทนไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้าน แต่เมื่อฝ่ายชายไปง้อก็ให้โอกาสมาตลอด ด้วยความที่คิดว่าผู้ชายจะดูแลเราได้และไม่ทำร้ายอีกเมื่อกลับมาใช้ชีวิตครอบครัว สุดท้ายพฤติกรรมยังเป็นเหมือนเดิม ทำร้าย พาไปกักขังข่มขู่เช่นเดิม และทวีความรุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดต้องเลิกรากันไป ทุกวันนี้แผลเป็นบนใบหน้าที่ได้กระทำกับตนเป็นเครื่องเตือนใจเตือนสติได้เป็นอย่างดี และประสบการณ์ที่ผ่านมาคือบทเรียนทำให้ตนเองและครอบครัวผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาได้ เพราะแม้จะพยายามรักษาคำว่าครอบครัวแต่ไม่สามารถรักษาได้ การแยกทางกันคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคู่
นางสาวบี (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ผู้ที่เคยถูกอดีตสามีกระทำด้วยความรุนแรง กล่าวว่า ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมา 2-3 ปี ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องยาเสพติดและเมาสุรา ทุกครั้งที่ดื่มจะมีปากเสียง ทุบตี ทำร้ายร่างกายเคยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนับเดือนที่ผ่านมาต้องอดทนเพื่อชีวิตครอบครัว ยิ่งฝ่ายชายตกงาน ตนจึงต้องรับภาระหนักขึ้น ต้องทำงานคนเดียวหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว กระทั่งมาถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง
“เขาหาว่าไปท้องกับชายอื่น จึงใช้มีดแทงที่ท้อง จากนั้นใช้มีดฟันศีรษะและนิ้วมือจนเส้นเอ็นขาด เกือบเอาชีวิตไม่รอด ขณะนั้นหวาดระแวงมาก กลัวว่าเขาจะมาทำร้าย และเมื่อต้องเลิกรากัน ชีวิตก็ดีขึ้นแม้ยังต้องดูแลตัวเอง ไปพบแพทย์เพื่อรักษาเส้นเอ็นที่นิ้วขาดและต้องทำกายภาพบำบัด ทั้งนี้อยากเตือนสติคู่รักทุกคน ว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา และหากรู้ว่าชีวิตคู่ไปด้วยกันไม่รอด ก็ไม่ควรประคับประคอง เพราะหากร้ายแรงกว่านี้จะนำมาสู่ความสูญเสียถึงชีวิตได้” นางสาวบี กล่าว