ป่วนใต้พุ่งเป้า จนท.รัฐ แค่ 40 วันสังเวยแล้ว 14 ศพ เจ็บ 26
เหตุคาร์บอมบ์ในเขตเมืองปัตตานี เมื่อเช้าวันที่ 9 ก.พ.2555 ซึ่งคนร้ายจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ซุกไว้ในรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน กข 8546 ภูเก็ต บริเวณริมถนนหน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี แม้ผู้เสียชีวิต 1 รายและได้รับบาดเจ็บทั้งสาหัสและเล็กน้อยรวม 15 ราย จะเป็นประชาชนทั้งหมด แต่การข่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า คนร้ายพุ่งเป้าทำร้ายกองกำลังอาสารักษาดินแดน (อส.) ขณะที่รถกระบะของรองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีเป็นหนึ่งในรถที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิด
แหล่งข่าวจากฝ่ายตำรวจ เปิดเผยว่า คนร้ายอาจลอบวางระเบิดเพื่อโจมตีกลุ่ม อส. เนื่องจากเวลา 09.00 น.วันที่ 9 ก.พ. จะมี อส.ไปรวมพลกันประมาณ 1,000 นาย เพื่อประกอบพิธีวันสถาปนากองร้อยอาสารักษาดินแดนที่หน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุราว 1 กิโลเมตร ประกอบกับเส้นทางที่ อส.จังหวัดใช้เดินทางไปยังหน้าศาลากลาง จะต้องผ่านจุดที่เกิดระเบิดดังกล่าว แต่โชคดีที่รถคณะ อส.อ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง
ส่วนรถของรองผู้ว่าฯปัตตานีว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุคาร์บอมบ์นั้น เป็นรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน กม 9336 สงขลา ซึ่งเป็นรถที่ ว่าที่ร.ต.เลิศเกียรติ ใช้ระหว่างปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ แต่ขณะเกิดเหตุ ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ ไม่ได้อยู่ในรถ เพราะยังไม่ได้เดินทางกลับจากกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเมื่อวันพุธที่ 8 ก.พ. ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการกิจการชายแดน สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา เกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารพรานใช้อาวุธปืนยิงรถต้องสงสัยจนทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 4 ราย และได้รับบาดเจ็บ 4 รายที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยเหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 29 ม.ค.2555
รองผู้ว่าฯปัดเป็นเป้า-ตร.ชี้หวังโจมตี อส.
อย่างไรก็ดี ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาว่า เขาไม่น่าจะเป้าหมายของเหตุระเบิดในครั้งนี้ เพราะได้เดินทางไปปฎิบัติราชการที่กรุงเทพฯ และได้ให้คนขับรถนำรถไปตรวจสภาพประจำปี ซึ่งบังเอิญเป็นจังหวะที่ขับรถผ่านจุดเกิดเหตุพอดีในช่วงที่เกิดระเบิด โดยคนขับปลอดภัย สำหรับเป้าหมายที่แท้จริงของคนร้ายน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวซึ่งเพิ่งมีงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และข่มขวัญประชาชนมากกว่าการมุ่งทำร้ายใครคนใดคนหนึ่ง
ขณะที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดปัตตานี ได้ออกเอกสารข่าวอ้างว่า รถคันที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิด ไม่ใช่รถของรองผู้ว่าฯปัตตานี แต่เป็นรถของเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดปัตตานี
พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐ์พันธุ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) กล่าวว่า เป้าหมายของคนร้ายคือพื้นที่ชั้นในของเมืองปัตตานี เพราะมีข่าวแจ้งเตือนมาประมาณ 3-4 วันแล้ว แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดทำให้ไม่สามารถเข้าไปก่อเหตุพื้นที่ชั้นในได้ จึงตัดสินใจจุดชนวนตรงจุดนี้ โดยเป้าหมายอยู่ที่การเดินสวนสนามของกองกำลัง อส.ที่จะมีขึ้นในเวลา 09.00 น.ที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งการเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดจะต้องผ่านถนนที่เกิดเหตุก่อนจะข้ามสะพานเข้าไปพื้นที่ชั้นในของเขตเมือง
เผยเจ้าหน้าที่รัฐติดอาวุธสุดเสี่ยง
ก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์ของทีมยุทธศาสตร์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ระบุว่า แนวโน้มสถานการณ์ความไม่สงบในปี 2555 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจะพุ่งเป้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐที่ติดอาวุธเป็นหลัก ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมทั้งกลุ่มคนที่ทำงานให้รัฐ และกองกำลังประชาชนที่รัฐจัดตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และอื่นๆ
"ฝ่ายขบวนการเสียมวลชนไปเยอะจากการก่อเหตุที่สะเปะสะปะ ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก หลายกรณีทำให้พวกเขาสูญเสียการสนับสนุนจากต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะการก่อเหตุที่ทำให้ครูและเด็กหรือเยาวชนต้องบาดเจ็บล้มตาย จุดนี้กลายเป็นจุดอ่อน ทั้งๆ ที่บางกรณีอาจจะไม่ใช่การกระทำของกลุ่มขบวนการแท้ๆ แต่มีเรื่องอื่นปน ทว่าในภาพที่มองจากข้างนอกก็เหมารวมว่าเป็นการกระทำของขบวนการทั้งหมด จุดนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาเสียหาย และรัฐบาลไทยสามารถนำข้อมูลไปยันในเวทีนานาชาติได้ด้วยว่านี่เป็นสงครามอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายกับบริสุทธิ์มากกว่าการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์" แหล่งข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้เหตุผล
และว่าข้อมูลการข่าวหลายแหล่งรายงานมาตรงกันว่าตั้งแต่ต้นปี 2555 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจะพุ่งเป้าตำรวจ ทหาร กับกองกำลังติดอาวุธ เช่น อส. เพราะชาวบ้านไม่ชอบอยู่แล้วจากการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องล่วงล้ำการดำเนินชีวิตตามปกติของประชาชน ฉะนั้นหากทำกับคนกลุ่มนี้ก็อาจได้รับแรงสนับสนุนจากชาวบ้านกลับคืนมา
เปิดสถิติ 40 วัน จนท.เจ็บตายเกือบครึ่งร้อย
จากการเก็บสถิติของศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พบว่า ในรอบ 40 วันที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 1 ม.ค.ถึง 9 ก.พ.) มีเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มต่างๆ เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วถึง 40 ราย แยกเป็นเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 26 ราย
สถิติดังกล่าวยังแยกแยะประเภทของเจ้าหน้าที่รัฐเอาไว้ดังนี้ ทหารเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 16 นาย ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย อส.เสียชีวิต 6 นาย บาดเจ็บ 5 นาย ทหารพราน เสียชีวิต 2 นาย ผู้นำท้องถิ่น เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 4 ราย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เสียชีวิต 1 ราย
คาร์บอมบ์ในเขตเมืองปัตตานีตาย 1 เจ็บ 15
สำหรับเหตุคาร์บอมบ์ที่หน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานีเมื่อวานนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.10 น. โดยคนร้ายได้ลอบจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ซุกไว้ในรถกระบะ (คาร์บอมบ์) ที่บริเวณสี่แยกหน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี (สสจ.ปัตตานี) ถนนสฤษดิ์ ต.สะบารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ทำให้มีประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวน 15 ราย
รายชื่อผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ประกอบด้วย นายมานิตย์ อูมา ข้าราชการบำนาญ เสียชีวิตที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลปัตตานี นายมะรอเซะ แวสอเฮาะ อายุ 37 ปี และ นายซูเฟียน ยูโซะ อายุ 18 ปี เป็นนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศปัตตานี ทั้งคู่อาการสาหัส โดยนายซูเฟียนนั้นถูกไฟคลอกเกือบทั้งตัว แพทย์ส่งไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทราบชื่อ 9 ราย คือ ด.ญ ชุติมา นามวงศ์ อายุ 2 ปี ด.ญพิชญา เบญระเหม อายุ 5 ปี น.ส เจาะรอสีดะห์ เจ๊ะแว อายุ 29 ปี น.ส เกษรา อินทโกษี อายุ 33 ปี นางอัมรา สิงสวัสดิ์ อายุ 53 ปี นายโนรี มูซอ อายุ 24 ปี นายอำนาจ เนียมทอง อายุ 46 ปี นายพิชิต เบญระเหม อายุ 35 ปี และ นายนิมะ หะยีอาแซ อายุ 40 ปี โดยผู้บาดเจ็บอีกบางส่วนถูกกระจกบาด บางรายไม่ได้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
แรงระเบิดทำอาคาร สสจ.เสียหายหนัก
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองได้นำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบว่าแรงระเบิดทำให้รถยนต์ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ และรถตู้ที่จอดเรียงรายอยู่ริมถนนใกล้กับจุดเกิดเหตุได้รับความเสียหาย 11 คัน รถจักรยานยนต์ 2 คัน นอกจากนั้นแรงระเบิดยังทำให้อาคาร สสจ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายอย่างหนัก มูลค่าความเสียหายนับล้านบาท ขณะที่อาคารที่อยู่ใกล้ๆ กัน เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 และบ้านพักปลัดจังหวัดก็ได้รับความเสียหาย
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า ระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นชนิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม ยังไม่ทราบวิธีการจุดชนวน โดยรถที่คนร้ายซุกระเบิดถูกแรงระเบิดอัดจนขาดสองท่อน
แฉคนร้ายวัยรุ่นนำรถมาทดลองจอดก่อน 1 วัน
สำหรับความคืบหน้าทางคดี พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐ์พันธุ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) กล่าวว่า ล่าสุดได้ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ซึ่งสามารถบันทึกภาพผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดครั้งนี้จำนวน 2 คน เป็นชายวัยรุ่น แต่ไม่สามารถระบุอายุได้
ทั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยกลุ่มดังกล่าวเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. โดยขับรถกระบะคันที่เป็นคาร์บอมบ์ไปจอดบริเวณที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 07.00 น.เศษ ก่อนที่คนร้ายอีกคนจะขับรถจักรยานยนต์มารับ หลังจากนั้นประมาณ 10.00 น.วันเดียวกัน คนร้ายก็กลับมาขับรถกระบะกลับไป แล้วขับมาจอดอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ก่อนจะจุดชนวนระเบิดเมื่อเวลา 08.10 น.
ส่วนสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยกับรถกระบะคันดังกล่าวนั้น พล.ต.ต.พิเชษฐ์ บอกว่า เป็นเพราะที่ข้างรถติดสติ๊กเกอร์คล้ายๆ ของกระทรวงสาธารณสุข จึงคิดว่าเป็นรถของเจ้าหน้าที่หรือของหน่วยงาน แต่ป้ายทะเบียนที่คนร้ายนำมาติดเป็นป้ายของรถยนต์เก๋งที่ จ.ภูเก็ต มีการพ่นสีซ้ำหลายครั้ง ขณะที่รถกระบะคาร์บอมบ์เป็นรถที่คนร้ายขโมยมาจากสามีภรรยาไทยพุทธ ในพื้นที่่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ตั้งแต่เดือน พ.ย.2554
พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้ของกลุ่มขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรง หลังจากเจ้าหน้าที่เน้นหนักงานมวลชนจนสามารถทำให้ประชาชนร่วมปฏิเสธความรุนแรงในพื้นที่ได้มากขึ้น รวมทั้งคนร้ายยังพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกี่ยวโยงกับเหตุทหารพรานยิงรถต้องสงสัยจนมีผู้เสียชีวิต 4 ศพที่ อ.หนองจิก ซึ่งอยู่ระหว่างการคลี่คลายข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการอิสระที่แต่งตั้งขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการตอบโต้กรณีสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับแกนนำถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและยึดยุทโธปกรณ์ได้จำนวนมาก
เปิดสถิติคาร์บอมบ์ 8 ปี 28 ครั้ง
สำหรับการลอบวางระเบิดแบบคาร์บอมบ์ เกิดขึ้นมาแล้วในรอบ 8 ปี 1 เดือนของสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งสิ้น (รวมเหตุล่าสุดวานนี้ด้วย) จำนวน 28 ครั้ง แยกเป็น จ.ปัตตานี 3 ครั้ง จ.ยะลา 7 ครั้ง และ จ.นราธิวาส 18 ครั้ง
ส่วนสถิติการลอบวางระเบิดทุกประเภท นับจากต้นปี 2547 ถึงสิ้นปี 2554 รวม 2,265 ครั้ง แยกเป็นปี 2547 จำนวน 104 ครั้ง ปี 2548 จำนวน 238 ครั้ง ปี 2549 จำนวน 327 ครั้ง ปี 2550 จำนวน 492 คร้ัง ปี 2551 จำนวน 267 ครั้้ง ปี 2552 จำนวน 288 ครั้ง ปี 2553 จำนวน 248 คร้ัง และปี 2554 จำนวน 301 ครั้ง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : กราฟฟิกแสดงจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มต่างๆ ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึง 9 ก.พ.2555 รวมทั้งสถิติเหตุระเบิดและคาร์บอมบ์
ขอบคุณ : กราฟฟิกโดยฝ่ายศิลป์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
หมายเหตุ : รายงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ปกโฟกัส ฉบับวันศุกร์ที่ 10 ก.พ.2555 ด้วย