“ขนมบูด” บุกชุมชน คุณภาพชีวิตเด็กแนวชายแดนดิ่งเหว
ในขณะที่ชุมชนเมืองได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด คุณภาพชีวิตคนชนบทกลับถดถอยน่าใจหาย ความเหลื่อมล้ำนี้มีให้เห็นในทุกมิติ ข้อมูลหนึ่งจากสมัชชาสุขภาพสะท้อนคุณภาพชีวิตเด็กในชุมชนอย่างน่าห่วง
....................
ทพ.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล เครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้นำการสร้างสุขภาวะแนวใหม่ (คศน.) เปิดเผยว่าจากการสำรวจได้พบพฤติกรรมผู้ประกอบการจำหน่ายขนมกรุบกรอบในพื้นที่จังหวัดชายแดน ซึ่งทำอันตรายต่อเด็กและผู้บริโภคอย่างรุนแรง โดยทำกันอย่างโจ่งแจ้ง และไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปดูแล
ทพ.ธงชัย อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่ามีด้วยกัน 3 ลักษณะ ได้แก่ 1.พบการนำเข้าขนมกรุบกรอบคุณภาพต่ำจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ จีน มาเลเซีย ขนมเหล่านี้ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่มีตรารับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีส่วนประกอบใด เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคมากน้อยเท่าใด
2.พบพฤติกรรมของผู้ประกอบการในประเทศไทยที่จงใจผลิตขนมกรุบกรอบหรืออาหารเลียนแบบผลิตภัณฑ์ที่วางขายอย่างถูกต้อง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งระบุไว้เพียงคำว่ารสต้มยำ โดยมีบรรจุภัณฑ์ภายนอกคล้ายคลึงยี่ห้อดัง แต่ขายเพียง 1-2 บาท แนไม่ระบุผู้ผลิต สถานที่ผลิต ส่วนประกอบ ไม่มีตรา อย.
3.พฤติกรรมของผู้ประกอบการที่ไปตระเวนรับซื้อขนมที่หมดอายุ ผลิตไม่ได้มาตรฐาน หีบห่อฉีกขาด จากโรงงาน เอามาใส่บรรจุภัณฑ์ใหม่ ไปวางขายในราคาถูก
“ขนมที่หมดอายุหรือไม่ได้มาตรฐาน ปกติแล้วโรงงานจะต้องทิ้งทั้ง แต่ผู้ประกอบการในภาคอีสานนำรถไปตระเวนซื้อในช่วงเวลาค่ำๆ แล้วนำมาทำหีบห่อย่อยๆไปเร่ขายให้กับร้านค้าในชุมชน ที่สำคัญพบวางขายอยู่ในร้านค้าโรงเรียนในพื้นที่ชนบทหลายแห่ง”
สำหรับการกระจายของขนมเถื่อนเหล่านี้ หากเป็นขนมที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่จะกระจุกอยู่ในจังหวัดแนวชายแดน ส่วนขนมที่ผู้ประกอบการตั้งใจเลียนแบบหรือนำมาบรรจุหีบห่อใหม่จะมีวางขายทั่วประเทศ แต่จะอยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน ชนบท เพราะกลุ่มเป้าหมายของผู้ขายคือตลาดล่าง โดยแหล่งผลิต-นำเข้า-จำหน่ายขนมกรุบกรอบเถื่อนใหญ่ที่สุดคือ จ.ปัตตานี หนองคาย อุบลราชธานี และสุรินทร์
คุณหมอธงชัย ขยายความอีกว่า โดยทั่วไปขนมกรุบกรอบจะมีอันตรายเนื่องจากความหวานมันเค็ม เมื่อเด็กกินเข้าไปจะได้รับน้ำตาล เกลือ ไขมันเกินความพอดี แต่กรณีเด็กแนวชายแดนจะยิ่งอันตรายมากกว่า เพราะมีโอกาสได้รับเชื้อรา แบคทีเรีย สีผสมอาหารเข้าสู่ร่างกาย
“จากผลการสำรวจทั่วประเทศ โดยเก็บตัวอย่างจากเด็ก 3 หมื่นคนพบว่า 30% ของเด็กไทยอายุ 2-14 ปี รับประทานขนมกรุบกรอบทุกวัน และอีก 20% กินบางวัน หมายความว่าเด็กประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทยเข้าถึงขนม โดยที่ไม่รู้ว่าขนมเหล่านั้นมีความปลอดภัย-อันตรายเพียงใด”
เขาบอกอีกว่า มูลค่าขนมขบเคี้ยวในประเทศสูงถึง 16,600 ล้านบาท และเด็กไทยมีแนวโน้มบริโภคเพิ่มมากขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 10% โดยบริโภคในอัตราส่วนที่เกินกว่าองค์การอนามัยโลกกำหนดถึง 2 เท่า
ทพ.ธง ชัย มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เพราะต้นตอของปัญหาอยู่ที่ผู้ประกอบการที่แสวงหากำไรโดยปราศจากความรับ ผิดชอบ ส่วนร้านค้า โรงเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงเด็กก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มองไม่เห็นอันตรายหล่านี้ จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งควบคุม
“พฤติกรรมของพ่อค้าขนมบูดพวกนี้ เมื่อบรรจุหีบห่อใหม่น่ารับประทาน อาจมีการหลอกล่อเด็กด้วยของเล่นหรือสีสันที่ดึงดูด จากนั้นก็จะเอาสินค้าใส่รถกระบะเร่ขายให้กับร้านขายของชำทุกหมู่บ้าน
ด้าน ทพญ.สุขจิตรา วนาภิรักษ์ สาธารณสุขจังหวัดแพร่ (สสจ.แพร่) เสริมว่าที่ผ่านมาได้ทำงานขับเคลื่อนนโยบายโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมและขนม แต่เมื่อทบทวนข้อมูลในจังหวัดกลับพบว่าแนวโน้มขนมที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น โดยในจ.แพร่ พบผลิตภัณฑ์อาหารและขนมที่ผิดกฎหมายถึง 16% ของทั้งหมดในพื้นที่
“ไม่เข้าใจว่าขนมคุณภาพต่ำเหล่านี้ผ่านศุลกากรเข้ามาได้อย่างไร เพราะวางขายแพร่หลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ทพญ.สุขจิตรา ให้รายละเอียดอีกว่า เด็กใน จ.แพร่มีโอกาสเข้าถึงขนมที่ไม่มีตรา อย.อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะร้านค้าหน้าโรงเรียน หรือเป็นขนมที่หน่วยงานต่างๆมักนำมาแจกในงานเทศกาล เช่น วันเด็ก โดยปรากฎการณ์เหล่านี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบเฝ้าระวังในประเทศไทย
ทพญ.จินดา พรหมทา โรงพยาบาลจอมพระสุรินทร์ เล่าว่า เฉพาะใน อ.จอมพระ มีแหล่งบรรจุหีบห่อขนมใหม่ติดกับแนวชายแดนถึง 4 พื้นที่ และใช้เส้นทาง อ.ศรีขรภูมิ เป็นทางผ่านในการกระจายขนม จ.สุรินทร์จึงถือเป็นแหล่งบรรจุหีบห่อขนมขนาดใหญ่ และจะกระจายไปทั้ง จ.บุรีรัมย์ จ.ร้อยเอ็ด และจ.ศรีสะเกษ เธอบอกว่าที่ผ่านมามีการจับกุมแหล่งบรรจุหีบห่อขนมเถื่อน 2 โรงงาน สภาพเป็นเพียงพื้นปูเสื่อมีแรงงานนั่งบรรจุขนม เศษขนมกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ กลิ่นเหม็นอับ พบเชื้อราอยู่ทั่ว มีการใช้สีที่ไม่ใช่สีผสมอาหารใส่ลงไปในขนม
“ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือมาตรการทางกฎหมาย แต่ในขณะนี้ก็ยังมีข้อจำกัดคือเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจสิ่งปนเปื้อนในขนมไกไม่มีผู้แจ้ง”
ส่วน ภก.ภาณุโชติ ทองยัง สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ไม่เชื่อว่ากฎหมายคือเครื่องมือแก้ปัญหาที่วิเศษที่สุด ต้องสร้างเครือข่ายให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัญหาคือแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ต้องมองปัญหาเป็นองค์รวมคือไม่แยกแก้ไขเฉพาะขนมกรุบกรอบหรืออาหาร ที่สำคัญคือให้ความรู้ชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การออกมาตรการเฝ้าระวังความเสี่ยงในชุมชนเอง
“ผมไม่หวังว่าขนมทุกอย่างต้องมี อย. ถามว่าขนมที่มี อย.มีประโยชน์ทั้งหมดจริงหรือ เราต้องทำให้เด็กเปลี่ยนทัศนคติเลือกกินเฉพาะของมีประโยชน์ ชุมชนต้องร่วมตระหนัก ทุกคนต้องร่วมกันเฝ้าระวังภัย”
ทั้งนี้ข้อมูล อย.ระบุว่า ผู้ที่บรรจุหีบห่อขนมใหม่โดยไม่ขออนุญาต มีโทษตามมาตรา 51 พ.ร.บ.อาหาร ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หากเข้าข่ายโรงงานไม่ขออนุญาตโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการทำบรรจุภัณฑ์ปลอมหรือทำให้คล้ายคลึงสินค้าที่ผลิตอย่างถูกต้อง ผิดฐานทำอาหารปลอมหรือมีฉลากเพื่อหลอกลวงหรือทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ โทษจำคุก 6-10 ปี ปรับ 5,000-10,000 บาท นอกจากนี้หากตรวจพบว่าขนมไม่บริสุทธิ์ โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
……………….
คำถามคือ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจได้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังแล้วหรือไม่ และเพียงพอหรือยังที่จะปกป้องคุณภาพชีวิตเด็กชนบทให้รอดพ้นจากขนมเถื่อนเหล่านี้?!? .