ลูกชายสะแปอิง: ปัญหาใต้ไม่มีวันจบถ้ารัฐยังคิดว่าพ่อเป็นแกนนำบีอาร์เอ็น
มัสยิดตะลาฆอสะมีลัน ที่หมู่ 4 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อวันอังคาร ที่ 17 ม.ค.60 คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ไปร่วมพิธีละหมาดฆออิบ หรือละหมาดศพโดยไม่มีศพ ให้กับ นายสะแปอิง บาซอ
คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมาปัตตานี นัดหมายกันจัดพิธีละหมาดครั้งนี้ เพราะนายสะแปอิง หรือ อุซตาซชาฟีอีย์ เบ็ญ อับดุลเราะฮฺมาน เป็นอิหม่ามประจำมัสยิดตะลาฆอสะมีลัน และเป็นอดีตครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อ.เมือง จ.ยะลา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขนาดใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
นายสะแปอิงเสียชีวิตที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา และญาติทำพิธีฝังในประเทศเพื่อนโดยไม่ได้นำศพกลับมาประกอบพิธีที่บ้านเกิด
พิธีละหมาดเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางผู้คนที่หลั่งไหลมาร่วมเป็นจำนวนมาก มีอิหม่ามและกรรมการมัสยิดในพื้นที่ จ.ปัตตานี มัสยิดละ 10 คน จำนวน 400 มัสยิด รวมทั้งศิษย์เก่าโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ทำให้ยอดผู้เข้าร่วมพิธีมีไม่ต่ำกว่าครึ่งหมื่น ทั้งๆ ที่พิธีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกศิษย์เก่าโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จัดขึ้นที่สนามกีฬาในโรงเรียน เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ม.ค. มีศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันเข้าร่วมนับหมื่นคนเช่นกัน
สำหรับพิธีที่มัสยิดตะลาฆอสะมีลัน เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับการรองรับผู้คนจำนวนมาก ทำให้ทำพิธีละหมาดถึง 3 รอบ นอกจากนั้นยังมีประชาชนที่อยู่ไกลเดินทางไปไม่ทันอีกจำนวนมาก ท่ามกลางการอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของตำรวจภูธรยะรัง
พ่อไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกรัฐกล่าวหา
นายซัลมาน บาซอ ลูกชายคนที่ 7 ของนายสะแปอิง กล่าวว่า สิ่งแรกที่อยากได้ คืออยากขอให้สื่ออย่างใส่ตำแหน่งพ่อว่าเป็นแกนนำบีอาร์เอ็น เพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น พ่อถูกกล่าวหา ครอบครัวและชาวบ้านยืนยันได้ว่าพ่อไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
“การแก้ปัญหาภาคใต้ไม่มีวันจบถ้ารัฐยังคิดว่า สะแปอิง บาซอ เป็นแกนนำ เพราะมันผิดตั้งแต่แรกแล้ว ยอมรับว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยชี้แจงหรือคุยกับสื่อ และสื่อเองก็ไม่ได้มาคุยกับเรา”
ยังไม่รู้หลุมศพอยู่ไหน คุยครั้งสุดท้าย 13 ปีก่อน
นายซัลมาน บอกว่า ทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“ตอนนี้ยังไม่ทราบชัดเจนว่าหลุมศพพ่ออยู่ที่ไหน แต่ก็ได้คุยกันภายในครอบครัวว่าจะไปเยี่ยมหลุมศพพ่อให้ได้สักวัน ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะทุกคนยังเศร้า 13 ปีที่พ่อจากไปไม่เคยได้คุยอะไรเลย ทราบแต่ข่าวจากคนอื่นว่าท่านเจ็บ เป็นเบาหวานมาตลอด เราไม่เคยไปเยี่ยมไปดูแล และท่านก็มาจากไปในวัย 86 ปี”
“พ่อมีลูก 9 คน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ปีที่แล้ว พี่ชาย นายฮัมดาน บาซอ อายุ 33 ปี ก็เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคลำไส้อักเสบ พ่อมีหลานทั้งหมด 14 คน อาศัยอยู่ใน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ อ.เมือง จ.ยะลา ส่วนแม่คือ ซากีนา สุหลง อายุ 64 ปียังแข็งแรง เป็นแม่บ้านตามปกติ หลังจากนี้พวกเราก็ตั้งใจจะใช้ชีวิตไปตามปกติ”
ลูกชายคนที่ 7 ของนายสะแปอิง บอกด้วยว่า ได้คุยกับพ่อครั้งสุดท้ายตอนที่พ่อไปแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อ 13 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยเจอหรือพูดคุยกันอีกเลย
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคือบททดสอบที่อัลลอฮ์ทดสอบพวกเรา รวมทั้งชาวบ้าน อัลลออ์ก็ทดสอบเหมือนกัน เราต่างถูกทดสอบด้วยกันจากพระองค์”
อยากให้ทุกอย่างจบแค่นี้
ซัลมาน ยังเล่าถึงภาพความทรงจำที่มีต่อพ่อ เมื่อครั้งที่ยังอยู่ด้วยกันว่า พ่อเป็นคนที่ช่วยเหลือชาวบ้าน ชีวิตประจำวันของพ่อสมัยก่อน เช้าตืนนอนมาจะเข้าสวน เสร็จ 8 โมงก็พาลูกไปส่งโรงเรียน แล้วไปทำงาน ทำงานเสร็จ กลับมาก็เข้าส่วน และจะช่วยชาวบ้านตัดสินเรื่องมรดก เพราะพ่อจบชารีอะห์จากมาดีนะห์ ประเทศ ซาอุดีอาระเบีย
“ตอนนั้นผมยังเด็ก จะช่วยพ่อยกน้ำชาทุกวัน หลังมีข่าวพ่อเสียชีวิต นายอำเภอยะรังก็ได้มาสอบถามว่าจะให้ทางอำเภอช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ส่วนทหาร ตำรวจก็มาแจ้งข่าวการตายของพ่อ เราก็บอกว่าไม่ต้องการอะไร อยากให้ทุกอย่างจบแค่นี้” ซัลมาน กล่าว
อุสตาซสะแปอิง...คนดีของชาวบ้าน
นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงการเสียชีวิตของนายสะแปอิงว่า คนในพื้นที่ส่วนใหญ่จะส่งลูกเรียนที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ที่ทราบเพราะเวลาไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ สังเกตว่าหลายบ้านจะมีภาพถ่ายหมู่ของนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยา กับครูใหญ่ที่ชื่อ สะแปอิง บาซอ ติดอยู่ที่ผนังบ้าน
“คนส่วนใหญ่มองอุซตาซเป็นคนดีมาก ดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดี คนในพื้นที่เล่าว่าตอนเย็นๆ หลังเลิกเรียน ชาวบ้านจะเห็นอุซตาซเดินรอบโรงเรียน ถ้าเด็กคนไหนยังไม่กลับบ้าน อุซตาซจะดุ และไล่ให้รีบกลับบ้าน พ่อแม่ก็สบายใจไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเถลไถลไปที่ไหน ผู้หญิงหนึ่งเคยเล่าว่า ตอนที่อุซตาซเป็นครูใหญ่ พวกเขาสบายใจมาก เพราะอุซตาซดูแลลูกๆ ของเขาเหมือนลูกตัวเอง”
แนะรัฐเปิดทางนำศพกลับไทย
อังคณา บอกว่า ในสายตาของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง มักมองว่าอุซตาซสะแปอิงเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย หรือเป็นอะไรต่อมิอะไรมากมายที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ แต่สำหรับชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อุซตาซสะแปอิงเป็นแค่ครูที่เอาใจใส่เด็ก ไม่เฉพาะเรื่องการเรียน แต่ยังหมายถึงการดูแลจริยธรรม การสอนให้เด็กมีวินัย และความรับผิดชอบ
ด้วยเหตุนี้ข่าวการเสียชีวิตของอุซตาซสะแปอิง อาจทำให้เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนสบายใจ แต่สำหรับประชาชนในพื้นที่แล้วนีเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญ เพราะคนที่พวกเขารักและไว้วางใจไม่อาจหวนคืนสู่มาตุภูมิ แม้ในสภาพที่ปราศจากลมหายใจ
“ปกติเราจะสามารถนำศพผู้เสียชีวิตในต่างประเทศกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิดได้ ฉะนั้นกรณีของอุซตาซสะแปอิงซึ่งชาวบ้านเคารพ น่าจะนำกลับมาทำพิธี คิดว่ารัฐควรใช้โอกาสนี้แสดงความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือครอบครัว หรืออำนวยความสะดวกให้ญาติไปจัดทำพิธี”
วีรบุรุษของรัฐกับชาวบ้านเป็นคนละคน
อังคณาบอกอีกว่า ที่ผ่านมาไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า อุซตาซสะแปอิงเป็นคนผิดตามที่เจ้าหน้าที่ออกหมายจับเมื่อปี 2547 (คดีปล้นปืนจากค่ายทหารใน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส) และต้องไม่ลืมว่าช่วงนั้น คดีที่มีการออกหมายจับ ศาลยกฟ้องมากพอสมควร
“วีรบุรุษของรัฐกับวีรบุรุษของชาวบ้านอาจเป็นคนละคนกัน ตรงนี้เราไม่ได้มองว่าผิดหรือถูก ส่วนการพูดคุยไม่คิดว่าจะแย่กว่าเดิมหรือดีขึ้น เพราะอยู่ที่ความจริงใจของรัฐ การพูดคุยเพื่อสันติสุขที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องไม่ได้มีเฉพาะการพูดคุยเท่านั้น แต่ต้องมีการปฏิบัติด้วย ปัญหาความซับซ้อนที่เกิดขึ้น รัฐต้องรีบขจัดทุกอย่างที่จะเป็นเงือนไข ภาคประชาชนสังคมก็ต้องสื่อสารไปยังขบวนการได้”
ชาวบ้านเชื่อ “สะแปอิง” ไม่เคยทำร้ายใคร
ชาวบ้านในพื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี บอกว่า อุซตาซสะแปอิงเป็นคนดี ชาวบ้านสามารถพึ่งพาได้ ปัญหาทุกด้านของชาวบ้าน สามารถไปเล่าและขอให้อุซตาซช่วยได้ทุกอย่าง ครอบครัวอุสตาซตั้งแต่รุ่นพ่อแล้วที่ช่วยดูแลชาวบ้าน ใครมีปัญหาอะไรก็จะไปที่บ้านอุสตาซ ทุกคนจึงรักและเคารพอุซตาซ และไม่เคยเชื่ออย่างที่ถูกกล่าวหา
“ข่าวการเสียชีวิตของอุซตาซ ทำให้ชาวบ้านทุกคนเสียใจมาก คนในพื้นที่เคยตกใจและเสียใจครั้งแรกตอนที่อุซตาซถูกเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเป็นแกนนำขบวนการ ครั้งนี้ก็ตกใจและเสียใจกับการจากไป แต่เชื่อว่าความจริงอุสตาซไม่เคยทำร้ายใคร”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ซัลมาน บาซอ ลูกชายคนที่ 7 ของสะแปอิง
2 คนจำนวนมากไปร่วมพิธีละหมาดฆออิบ