‘คุณสมบัติต้องห้าม’ผู้บริหารแบงก์รัฐมีผลแล้ว! 3 อันดับแรก 7 แห่งเสี่ยงถูกเชือด?
ผู้บริหาร 3 อันดับแรก แบงก์รัฐ 7 แห่งเสี่ยงถูกถอดถอน หลังแบงก์ชาติดีเดย์เข้ากำกับเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 60 คุมเข้มคุณสมบัติ ตั้งแต่ ผช.ผกจ.ขึ้นไป เพียงแค่ ‘เคย’ ละเลยกฎระเบียบ เข้าลักษณะต้องห้าม มีหลายรายส่อประเดิมโดนเชือด

เป็นเวลา 2 ปีเต็ม หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปลายปี 2557 ให้แบงก์ชาติเข้ามากำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 8 แห่ง คือ ธนารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ,ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ,ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือเอสเอ็มอีแบงก์) , ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) , บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) , บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย และ ธนาคารอิสลาม ซึ่งต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) ได้มีคำสั่งมอบหมายให้แบงก์ชาติกำกับดูแลอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อแบงก์ยกร่างหลักเกณฑ์การกำกับดูแลจำนวน 5 หมวด 24 หลักเกณฑ์แล้วเสร็จ เมื่อไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 และเรียกประชุมผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง เพื่อซักซ้อมความเข้าใจ และแสดงความเห็นต่อหลักเกณฑ์การกำกับ พร้อมกับปรับแก้จนสมบูรณ์และนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์) เพื่อให้ความเห็นชอบและเตรียมประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ปรากฏว่าเรื่องถูกเก็บไว้จนกระทั่งเกินกำหนดเวลา จึงทำให้แบงก์ชาติไม่สามารถประกาศใช้หลักเกณฑ์การกำกับได้ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ผ่านมาอีกเกือบ 1 ปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพิ่งให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ เมื่อเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญใด ๆ และแบงก์ชาติได้ประกาศหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
@พลิกปูม มติ ครม. 2 ธ.ค.57
ความเป็นมาของเรื่องนี้ สืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 เห็นชอบเรื่องการปฏิรูปการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อให้การกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในด้านกำกับความมั่นคง และกำกับนโยบายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีความสอดคล้องกับพันธกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จึงให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 433/2558 วันที่ 2 เมษายน 2558 เรื่องมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ในการออกคำสั่งดังกล่าว
คำสั่งกระทรวงการคลังที่ 433/2558 วันที่ 2 เมษายน 2558 กำหนดไว้ในข้อ 3 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจในด้าน 1) การออกเกณฑ์กำกับดูแล 2) การตรวจสอบความเหมาะสมของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหาร 3) ติดตามตรวจสอบ และ 4) การสั่งการให้แก้ไขปัญหา ดังนั้นหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้ง 4 ด้าน รวมถึงการตรวจสอบความเหมาะสมของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหาร จึงเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
ต่อมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศ ที่ สกส 4/2559 เรื่อง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ และที่ปรึกษา ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2559 และให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป เพื่อใช้บังคับกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 7 แห่ง (ยกเว้น ธ.อิสลาม) ซึ่งเป็นประกาศที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 24 มาตรา 25 และมาตรา 81 (2) ประกอบมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 และได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว โดย ธพว.อยู่ภายใต้ประกาศฉบับนี้ ซึ่งเหตุผลในการออกประกาศระบุว่า กรรมการที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ และที่ปรึกษา ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน เหมาะสม และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ๆ กฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดเพิ่มในประกาศฉบับนี้ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และในบทเฉพาะกาลระบุว่า บุคคลดังกล่าวที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันก่อนประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ให้ยังคงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ
@กำหนดคุณลักษณะต้องห้าม
อย่างไรก็ตาม หากปรากฏในภายหลังว่า บุคคลดังกล่าวขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจก็ต้องดำเนินการให้มีการถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ยังระบุในทำนองเดียวกันไว้ในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส 6/2559 เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ และที่ปรึกษา ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในข้อ 4.2.4 ว่า หากปรากฏในภายหลังว่าบุคคลดังกล่าวขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเพิกถอนการให้ความเห็นชอบที่ได้ให้ไว้แล้ว
- ลักษณะต้องห้ามที่สำคัญตามประกาศ ธปท. ที่ สกส 4/2559 ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ (ผู้บริหาร 3 อันดับแรก) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในปัจจุบัน มีปัญหาว่าอาจมีลักษณะต้องห้ามตามประกาศฉบับนี้ ได้แก่
- ข้อ 4.2.1 (4) กำหนดไว้ว่า“เคยเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะที่สถาบันการเงิน ฯลฯ ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย” ซึ่งมีผู้บริหารสูงสุดของแบงก์รัฐแห่งหนึ่ง เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่งที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ ปี 2540
-ข้อ 4.2.1 (9) กำหนดไว้ว่า “เป็นพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเป็นผู้ที่พ้นจากการเป็นพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ครบ 1 ปี ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการขึ้นไป หรือตำแหน่งเทียบเท่า....” ซึ่งหากประกาศฉบับนี้ออกมาก่อนหน้านี้ อาจมีกรรมการแบงก์รัฐแห่งหนึ่งเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามข้อนี้
-ข้อ 4.2.2 (1.3) กำหนดไว้ว่า “เคยถูกหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศ กล่าวโทษ ร้องทุกข์ หรือกำลังดำเนินคดี ในความผิดฐานฉ้อโกง หรือทุจริตทางการเงิน เว้นแต่ปรากฏว่าคดีถึงที่สุดโดยไม่มีความผิด”
-ข้อ 4.2.2 (1.6) กำหนดไว้ว่า “มี หรือ เคยมี พฤติกรรมที่แสดงถึงการทำงานอันส่อไปในทางไม่สุจริตหรือฉ้อฉล หรือมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนให้เกิดการกระทำดังกล่าวของบุคคลอื่น ซึ่งรวมถึงการเลือกปฏิบัติ การแสวงหาประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งของผลประโยชน์ (Conflict of interest)”
-ข้อ 4.2.2 (1.7) กำหนดไว้ว่า ““มี หรือ เคยมี พฤติกรรมที่แสดงถึงการละเลยการตรวจสอบดูแล หรือการปฏิบัติงานที่พึงกระทำตามสมควรเยี่ยงกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น รวมทั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ฝ่าฝืนกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ คู่มือการปฏิบัติงานภายใน ตลอดจนมติของคณะกรรมการ หรือมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิจารณาสินเชื่อ หรือการตัดสินใจลงทุน หรือมีการดำเนินการอื่นใด อันเป็นสาเหตุให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในธุรกิจสถาบันการเงิน หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ความเสียหายต่อชื่อเสียง ฐานะ หรือการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญ เช่น.....” ซึ่งกรรมการและผู้บริหารแบงก์รัฐจำนวนมากมีลักษณะต้องห้ามตามข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็น ธพว. ธ.อิสลาม หรือแม้กระทั่ง ธอส. หลายกรณีที่เคยตกเป็นข่าวก่อนหน้านี้
-ข้อ 4.2.2 (2.2) กำหนดไว้ว่า “มี หรือ เคยมี การทำงานที่แสดงถึงการขาดมาตรฐานทางบัญชี มาตรฐานการบริหารความเสี่ยง หรือมาตรฐานทางวิชาชีพอื่น ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งกำหนดโดยหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานกำกับมาตรฐานอื่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศไทย เช่น การอำพรางฐานะทางการเงิน หรือผลการดำเนินงานที่แท้จริง การจงใจหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นอันเป็นสาระสำคัญ การถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ”
@ บิ๊กแบงก์รัฐ 7 แห่งอยู่ในข่าย
สถาบันการเงินของรัฐ 7 แห่ง (ไม่รวม ธ.อิสลาม) มีผู้บริหาร 3 อันดับแรก คือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รองกรรมการผู้จัดการ และกรรมการผู้จัดการ (หรือบางแห่งเรียกชื่ออย่างอื่น) ประมาณแห่งละ 10-15 คน และมีกรรมการ ประมาณแห่งละ 10 คน และมีตำแหน่งที่ปรึกษามากน้อยแตกต่างกันไป หากจะมีการถอดถอนเนื่องจากการขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม กรณีกรรมการ, กรรมการผู้จัดการ หรือที่ปรึกษา อาจไม่ใช่ปัญหาก็เพียงแต่พ้นหน้าที่ไป แต่กรณีเป็นพนักงานประจำในระดับรองกรรมการผู้จัดการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ซึ่งไม่มีวาระการดำรงตำแหน่งโดยสามารถทำงานได้จนเกษียณอายุ หากต้องพ้นจากหน้าที่เดิมแล้วไม่ว่าจะไปอยู่ในตำแหน่งที่มีชื่อเรียกอย่างไร ก็ยังถือว่าเป็นตำแหน่งเทียบเท่าผู้มีอำนาจในการจัดการ ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามประกาศ ธปท. จึงทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรได้ การที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 58/2559 เปิดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 50 อัตรา จึงอาจเป็นคำสั่งที่ออกมาเพื่อรองรับในเรื่องนี้?
ต้องคอยดูกันต่อไป











อ่านประกอบ :
ส่งชื่อ 90 คนพัน 3 ปมฉาว ธพว.-ปล่อยกู้ บ.พายัพ! ป.ป.ช.เตรียมตั้งอนุฯไต่สวนต้นปีนี้
