บสย. เผยแผนปี 60 เล็งขยายธุรกรรมค้ำประกัน Non-bank- SMEs ที่มีนวัตกรรม

บสย. พร้อมเดินแผนวิสาหกิจปี 2560 วาง 3 ยุทธศาตร์หลัก SMEs ตั้งเป้าค้ำประกัน 86,000 ล้านบาท ช่วยลูกค้าใหม่เข้าถึงสินเชื่อ 54,000 ราย และเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน

นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า บสย.พร้อมเดินแผนวิสาหกิจปี 2560 ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก คือ ยุทธศาสตร์ การขยายฐานลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุน โดยให้ความสำคัญกับSMEs รายย่อย ตั้งเป้าค้ำประกันสินเชื่อ 86,000 ล้านบาท เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 54,080 ราย และตั้งเป้าอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ (LG) 73,600 ฉบับ

“ยุทธศาสตร์การสนับสนุนด้านความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการSMEs (Financial Literacy)ในรูปแบบของการให้ความรู้และความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ตั้งเป้าจำนวน SMEs เข้าร่วมกิจกรรมให้ความรู้ 8,000 ราย  และยุทธศาสตร์การวางระบบบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ทั้งในส่วนการตามหนี้ และเก็บหนี้”

ทั้งนี้ในปี 2559 บสย.ยังได้การสนับสนุนจากรัฐบาล โดยอนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 100,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (โครงการ PGS6)  เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการSMEs เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และช่วยให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้อย่างมั่นใจตลอดปี 2560 จนถึงสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 โดยขณะนี้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน ได้เริ่มอนุมัติโครงการแล้ว หลังจากที่ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับ 17 ธนาคารเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559  คาดว่าในปี 2560 สถาบันการเงินที่ร่วมลงนามพร้อมทยอยปล่อยสินเชื่อผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุนเพิ่มมากขึ้น  

ส่วนทิศทางการดำเนินงาน นายนิธิศ กล่าวว่า ยังมุ่งเน้นขับเคลื่อนโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ และโครงการความร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรอย่างรวดเร็ว ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการทำงานภายใน การลงทุนพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อรองรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs มากขึ้น เช่น ขยายธุรกรรมค้ำประกันผู้ให้บริการสินเชื่อสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์  (Non-bank) ,ค้ำประกันลูกค้าที่มีนวัตกรรม

นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนกระตุ้นการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายตามแผนวิสาหกิจ ปี 2560 ภายใต้กลยุทธ์เชิงรุกครบทุกมิติ ทั้งส่วนกิจการสาขา การตลาด พร้อมปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสอดรับความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs และธนาคารพันธมิตร โดยมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง บสย. ธนาคาร และหน่วยงานต่างๆ   เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจระหว่างกัน

ด้านนายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บสย. กล่าวเสริมถึงแผนจะขยายธุรกรรมค้ำประกันผู้ให้บริการสินเชื่อสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ในปี 2560 นั้น  ตามกฎหมายเดิม บสย.ค้ำได้เฉพาะสินเชื่อ ผ่านธนาคารเท่านั้น ปัจจุบันกำลังมีการแก้ไขกฎหมายให้ บสย.สามารถค้ำประกันธุรกรรมคล้ายสินเชื่อได้ บริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารแต่มีการปล่อยสินเชื่อ

“ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนศึกษารูปแบบการค้ำประกัน สัญญาเช่าซื้อ สัญญาแฟ็กเตอริง  สัญญาลิสซิ่ง คาดว่าภายใน 3 เดือนได้ข้อสรุป”นายวิเชษฐ กล่าว และว่า สัญญาเช่าซื้อ สัญญาแฟ็กเตอริง  สัญญาลิสซิ่ง 3 ธุรกรรม รวมกันกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ลูกค้ากว่า 1 ล้านราย

นายวิเชษฐ  กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันลูกค้า SMEs มีความต้องการใช้บริการด้านการเงินที่มีเพิ่มขึ้นคือธุรกรรมที่ไม่ใช่สินเชื่อ บสย.ต้องการให้คนรักษาวินัยทางการเงิน เราอยากช่วยคน  จึงมีแนวคิดจะเข้าไปค้ำประกันธุรกรรมตรงนี้ 

ขณะที่นายประเสริฐ ชัยชาญอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกิจการสาขา บสย. กล่าวถึง 11 สาขาของบสย. แบ่งเป็น กทม. 1 สาขา และอีก 10 สาขาอยู่ตามภูมิภาค ซึ่งสาขากทม.มียอดค้ำประกันถึง 40% เป็นธุรกิจบริการ ค้าขายทั่วไป ส่วนตามภูมิภาค บสย.ค้ำประกันให้ภาคธุรกิจก็ขึ้นอยู่กับบริบทในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคใต้ธุรกิจประมง ยางพารา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ค้าขายทั่วไป บริการ ท่องเที่ยว และภาคการเกษตร

สำหรับผลดำเนินงาน บสย. ณ.วันที่ 15 ธันวาคม 2559 ขณะนี้มียอดค้ำประกันสินเชื่อรวม 84,519 ล้านบาท (จากเป้าค้ำประกันสินเชื่อปี 2559 ตามแผนวิสาหกิจที่ 85,000 ล้านบาท) และมีการอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อใหม่ จำนวน 51,115 LG  จากทั้งหมด 19 กลุ่มธุรกิจ (จากเป้าหมาย 58,100 LG) โดยมี 7 กลุ่มธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการ SMEs ขอสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ คือ  1.กลุ่มธุรกิจบริการ จำนวน  11,312  LG  2.กลุ่มธุรกิจผลิตสินค้า จำนวน 11,185  LG 3.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 5,770 LG 4.กลุ่มการเกษตร จำนวน  4,983  LG 5.กลุ่มสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม จำนวน  3,042 LG 6.กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค จำนวน 3,043  LG 7.กลุ่มยานยนต์ จำนวน 2,196 LG