ไขยุทธศาสตร์กลุ่มป่วนใต้...ทำไมต้องฆ่าผู้หญิงท้องแก่
"การใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม มันเป็นความรุนแรงที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องประณาม เพราะว่าเป็นการใช้ความรุนแรงต่อเป้าหมายที่อ่อนแอ ใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้เป็นผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ด้วย ศาสนาอิสลามไม่ยอมรับ และถ้ามองกันในเชิงของมนุษยธรรมเชื่อว่าขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากลอย่างรุนแรง"
เป็นคำกล่าวของ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สะท้อนว่าเหตุการณ์คนร้ายจ่อยิง น.ส.รัตติกาล จ่าวัง วัย 26 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด จนเสียชีวิตขณะซื้ออาหารในตลาดปาลัส อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี คือความรุนแรงแบบไร้ขอบเขตในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีใครยอมรับได้ เพราะทั้งผิดหลักศาสนาและขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากลอย่างรุนแรง
แม้จะยังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็ให้น้ำหนักไปที่การกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือเรียกด้วยภาษาทางการว่า “กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง” เพราะปฏิบัติการครั้งนี้ตรงกับข่าวแจ้งเตือนเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ว่าจะมีการก่อเหตุยิงเป้าหมายอ่อนแอ เป็นราษฎรไทยพุทธ หรือบุคลากรทางการศึกษา ในพื้นที่ 3 อำเภอ และหนึ่งในนั้นคือ อ.ปะนาเระ
คำถามที่ถามกันเซ็งแซ่ก็คือ ทำไมต้องยิงผู้หญิงท้องแก่? ยิงแล้วได้อะไร? ไม่เสียมวลชนหรือ? ทำแบบนี้จะแยกดินแดนได้จริงหรือ?
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคงให้ข้อมูลว่า การทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง มีเป้าประสงค์ให้ประชาชนหมดความเชื่อถือในอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น คนทั่วไปย่อมก่นด่าประณามผู้ก่อเหตุ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็จะมีการวิจารณ์ความล้มเหลวในการดูแลรักษาความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และสุดท้ายมวลชนจะหันมากดดันรัฐให้เปลี่ยนนโยบาย ดีไม่ดีอาจเลวร้ายถึงขั้นให้ยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายก่อการ
หลายคนคงเคยได้ยินเสียงบ่นปนรำคาญจากผู้ที่รับรู้ข่าวสารจากชายแดนใต้ทำนองว่า “ยุ่งนัก ยกๆ ให้มันไปเสียเถิด”
นี่คือสิ่งที่กลุ่มผู้ก่อการต้องการให้เกิดขึ้น!
สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งศึกษายุทธศาสตร์และยุทธวิธีของกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่บอกว่าจุดประสงค์ของการฆ่าคนพุทธ ก็เพื่อทำให้คนพุทธในพื้นที่เกลียดคนมลายู เมื่อเกิดความเกลียดชัง หวาดระแวงกัน ก็อาจมีการล้างแค้นตอบโต้กัน และกลายเป็นความขัดแย้งบานปลาย เข้าทางเป้าหมายแบ่งแยกดินแดน
วิธีคิดของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ พล.อ.สำเร็จ อธิบาย เป็นการหวังผลในระดับพื้นที่ แต่ผลทางจิตวิทยามีมากกว่านั้น เพราะในระดับประเทศก็จะเกิดกระแสเกลียดชังมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก็จะกลายเป็นน้ำหนักให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนได้ หรือไม่ก็กำหนดให้เป็นพื้นที่ปกครองรูปแบบพิเศษ
ข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกับความเห็นของนักวิชาการด้านมุสลิมที่มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าห่วงกังวล
“ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ลอบยิงเด็ก ผู้หญิง หรือแม้แต่พระสงฆ์ ถือเป็นการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยมุสลิมกับคนไทยพุทธอย่างมาก ผมมองว่าปัญหาด้านความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือปัญหาความสัมพันธ์ของคน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากความสัมพันธ์ของคน ชุมชน และศาสนา ไม่เป็นไปด้วยดี ก็จะส่งผลกระทบในด้านลบ จากนี้การสร้างความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่จะต้องมีมาตรการที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลุ่มแนบแน่น ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้จะรุนแรงมากกว่านี้” ดร.ศราวุฒิ กล่าว
ส่วนวิธีการก่อเหตุที่มีข้อสงสัยว่า “ล็อคเป้า” มาก่อนหรือไม่นั้น จากการเก็บข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงเกี่ยวกับรูปแบบการทำงานของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและอาร์เคเค พบว่า ก่อนมีปฏิบัติการจะมีคำสั่งจากระดับนโยบายของขบวนการมาก่อนว่าต้องการให้เกิดเหตุรุนแรงพื้นที่ใด ด้วยวิธีการใด เช่น ยิงเป้าหมายอ่อนแอ, วางระเบิด เป็นต้น
เมื่อรับโจทย์มา แนวร่วมในพื้นที่จะกำหนดเป้าหมาย สมมติว่าต้องการยิงคนพุทธ ก็จะคัดเลือกเป้าว่ายิงใครมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด เมื่อได้เป้าหมายแล้ว ก็จะเริ่มติดตามและสังเกตพฤติกรรม ก่อนจะกำหนดจุดก่อเหตุ แล้วอาร์เคเคจากนอกพื้นที่ก็จะเข้ามารับปืน แล้วลั่นไก จากนั้นจะหลบหนีออกจากพื้นที่ทันที
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลามากกว่า 1 สัปดาห์ บางกรณีอาจนานเป็นเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด และแต่ละปฏิบัติการมีคนร่วมนับสิบคน ถ้าเป็นเหตุระเบิดอาจมากถึง 20-30 คน!
มีหลายคนมองในแง่ดีว่า คนร้ายอาจไม่ทราบว่าเหยื่อที่กำลังจะถูกสังหารเป็น “ผู้หญิงตั้งครรภ์” แต่จากการตรวจสอบย้อนหลังของ “ทีมข่าวอิศรา” พบว่ามีเหตุรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำให้ “ผู้หญิงท้อง” ต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บมาแล้วอย่างน้อย 21 กรณี มี 9 กรณีที่เสียชีวิต และทั้งหมดเป็นการยิงแบบเจาะจง
ส่วนการเลือกตลาดปาลัสเป็นพื้นที่ลงมือนั้น เพราะตลาดแห่งนี้เป็นตลาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.มายอ กับ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ทำให้ง่ายต่อการหลบหนี
หากย้อนดูสถิติการก่อเหตุจะพบว่าตลาดปาลัสเรียกได้ว่าเป็น “พื้นที่สังหาร” หรือ Killing Zone เพราะเคยเกิดเหตุรุนแรงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ที่สำคัญๆ ก็เช่น เหตุจ่อยิง ครูไพรัตน์ จิตร์เสน ครูโรงเรียนบ้านดูวา อ.มายอ วัย 50 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 พ.ค.57 เหตุยิงสองสามีภรรยาขายยาเส้นจนเสียชีวิตทั้งคู่ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ปีเดียวกัน รวมถึงเหตุปล้นธนาคารกสิกรไทย สาขาปาลัส เมื่อวันที่ 30 พ.ค.56
นี่คือความน่ากลัวของสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมาเกือบ 13 ปีแล้วยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ศาลาเอนกประสงค์วัดควน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี สถานที่ตั้งศพ น.ส.รัตติกาล และลูกในท้อง