ฟังเสียงชาวบ้าน-เทียบข้อมูลทหาร...คลี่ปมเหตุการณ์"ฆ่า 4 ศพที่ปุโละปุโย"
เหตุการณ์ทหารพรานยิงรถกระบะต้องสงสัยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 4 ราย บาดเจ็บอีก 4 ราย และรอดตายหวุดหวิด 1 คน ที่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อกลางดึกคืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น กำลังกลายเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" ที่สร้างกระแสความไม่พอใจและหวาดระแวงในหมู่ชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหาร และที่น่าตกใจก็คือ ในพื้้นที่ตำบลเดียวกันนี้ เมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว ก็เพิ่งเกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยมีเยาวชนอายุ 16 ปี กับ 19 ปีต้องสังเวยชีวิต
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ปรากฏ "ข้อเท็จจริงสองด้าน" ในดินแดนปลายสุดด้ามขวาน เพราะข้อมูลที่เจ้าหน้าที่แถลงตั้งแต่ระดับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ขึ้นไปจนถึงรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตรงกันข้ามกับข้อมูลของชาวบ้านในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง
ข้อมูลจากข่าว : ทหารพรานยิงรถต้องสงสัยดับ 4
พิจารณาข้อมูลจากผู้สื่อข่าวที่รายงานผ่านสื่อทุกแขนง สรุปได้ว่า เหตุการณ์สลดครั้งนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องจากเหตุการณ์ยิงถล่มฐานทหารพรานเมื่อช่วงค่ำของวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.2555 โดย พ.ต.อ.ชนวีร์ ชมาฤกษ์ ผู้กำกับการ สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี รับแจ้งเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงใส่ฐานปฏิบัติการทหารพรานที่ 4302 ตั้งอยู่หมู่ 3 บ้านน้ำดำ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก ทำให้ทหารพรานถูกสะเก็ตระเบิดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 นาย
หลังเกิดเหตุ กองกำลังทหารพรานได้ประสานกับกำลังที่ลาดตระเวนอยู่นอกฐานให้ตั้งจุดตรวจจุดสกัด พร้อมทั้งเคลื่อนกำลังอีกส่วนหนึ่งนั่งรถยนต์ออกจากฐานเพื่อปิดล้อมพื้นที่ใกล้เคียง โดยใช้เส้นทางสาย 418 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 418) ยะลา-ปัตตานี เมื่อถึงบริเวณหมู่ 1 บ้านกาหยี ต.ปุโละปุโย ห่างจากฐานปฏิบัติการที่ถูกยิงกล่มประมาณ 2 กิโลเมตร ได้พบรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 3105 ปัตตานี มีชายหลายคนนั่งอยู่ในกระบะหลัง กำลังขับไต่ระดับเพื่อขึ้นบนถนนสาย 418 จากนั้นได้เกิดการยิงกันขึ้น ทำให้รถกระบะคันดังกล่าวถูกยิงด้วยอาวุธสงครามเป็นรูพรุนทั้งกระจกหน้ารถและด้านข้าง
เมื่อเสียงปืนสงบลง เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบภายในรถ พบมีผู้เสียชีวิตคาที่จำนวน 4 ราย ทราบชื่อคือ
1.นายสาหะ สาแม อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/4 บ้านปะกาฮารัง หมู่ 7 ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี
2.นายอิสมัน ดือราแม อายุ 55 ปี อยู่ที่บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
3.นายรอปา บือราเฮง อายุ 18 ปี อยู่ที่บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
4.นายหามะ สะนิ อายุ 56 ปี อยู่ที่บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
นอกจากนั้น ยังพบผู้ได้บาดเจ็บ 4 ราย คือ
1.นายมะแอ ดอเลาะ อายุ 74 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
2.นายซอบรี บือราเฮง อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 131 บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
3.นายมะลูดิง แวกาจิ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/2 บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
4.นายยา ดือราแม อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 93/2 บ้านกาหยี หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก
ส่วนอีกรายที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ คือ นายอับดุลเลาะ (สงวนนามสกุล) อายุ 15 ปี
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุอย่างละเอียด พบปลอกกระสุนปืนอาก้า 26 ปลอก และปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 30 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนั้นบริเวณท้ายกระบะรถยังพบอาวุธปืนอาก้า 1 กระบอก และปลอกกระสุนปืนอาก้าอีก 2 ปลอกด้วย
นายอับดุลเลาะ เด็กหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ให้การว่า พวกเขารวม 9 คนได้เดินทางออกจากหมู่บ้านด้วยรถกระบะเพื่อไปละหมาดศพอดีตผู้ใหญ่บ้านที่เสียชีวิตด้วยโรคชรา ที่หมู่ 4 บ้านทุ่งโพธิ์ ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก ตามคำเชิญของญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต โดยมีนายยาเป็นคนขับ และมีคนนั่งอยู่ในเก๋งจำนวน 3 คน นั่งอยู่กระบะท้าย 6 คน เมื่อถึงจุดเกิดเหตุพบเจ้าหน้าที่ทหารพรานหลายนายตรึงกำลังอยู่ จากนั้นก็มีกระสุนปืนยิงมาที่รถจำนวนมาก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันมีผู้บาดเจ็บ 2 คนกระโดดหนีเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ชาวบ้านไม่กล้าช่วย
ด้าน นายลือชัย เจริญทรัพย์ นายอำเภอหนองจิก กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รีบดำเนินการจัดการเรื่องศพตามประเพณีอิสลาม พร้อมทั้งได้เข้าไปทำความเข้าใจกับญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตและผู้นำในพื้นที่ว่า ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระบวนการยุติธรรม โดยเขาจะให้ความเป็นธรรมและเยียวยาญาติผู้ที่เสียชีวิตตลอดจนผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่
ข้อมูลโฆษก กอ.รมน. : คนร้ายใช้ผู้บริสุทธิ์เป็นโล่มนุษย์
ต่อมา พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (รองผอ.รมน.ภาค 4 สน.) ในฐานะโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงรายละเอียดของเหตุการณ์ว่า คนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงใส่ฐานปฏิบัติการทหารพรานที่ 4302 ตั้งอยู่หมู่ 3 บ้านน้ำดำ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จากนั้นพยายามใช้พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นโล่มนุษย์กำบัง โดยอาศัยรถยนต์ของชาวบ้านที่แล่นผ่านมาแฝงตัวเพื่อใช้เป็นเส้นทางหลบหนี เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นท่าทีมีพิรุธจึงเข้าตรวจสอบ คนร้ายได้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ แล้วทิ้งหลักฐานหลบหนีเอาตัวรอดไป เจ้าหน้าที่จึงทำการตอบโต้กลุ่มคนร้าย ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์รับเคราะห์
"ถือเป็นกลลวงของกลุ่มคนร้ายที่พยายามสร้างสถานการณ์ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับพี่น้องประชาชน เบื้องต้นขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดแล้ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเชื่อมโยงการก่อเหตุของคนร้ายกลุ่มนี้ และจะมีความชัดเจนขึ้นว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง โดยในที่เกิดเหตุสามารถยึดปืนอาก้าได้ 1 กระบอก และปืนพกสั้นขนาด 11 มม.อีก 1 กระบอกซึ่งคนร้ายใช้ก่อเหตุ โดยเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบที่มาของอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ว่าเคยนำไปก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ใดบ้าง และน่าจะเชื่อมโยงไปสู่ผู้ที่ครอบครองได้" พล.ต.อัคร ระบุ
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น ทางศูนย์สันติสุข และกองร้อยทหารพรานที่ 4302 บ้านน้ำดำ ต.ปุโละปุโย ได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะพูดคุยและทำความเข้าใจกับญาติพี่น้องของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ แต่ท่าทีในเบื้องต้นชาวบ้านและญาติพี่น้องยังอยู่ในอารมณ์โกรธแค้นเจ้าหน้าที่ ยังไม่อยากฟังคำชี้แจงใดๆ แต่ก็เชื่อว่าผลการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะสามารถคลี่คลายข้อเท็จจริงได้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ใครเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง และจะทำให้พี่น้องประชาชนคลายความวิตกกังวลในที่สุด
ข้อมูลจากยุทธศักดิ์ : คนเจ็บ-ตายไม่ใช่ชาวบ้านเพราะมีอาวุธ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ เมื่อช่วงสายของวันจันทร์ที่ 30 ม.ค.ว่า กรณีที่เกิดขึ้นยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ยิงประชาชน เหตุการณ์เท่าที่ได้รับรายงานเบื้องต้นนั้น ผู้ก่อเหตุมีรถกระบะกับรถจักรยานยนต์ โดยคนที่ขี่รถจักรยานยนต์นั้นมีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 อยู่ในครอบครองแต่หนีไปได้ ส่วนรถกระบะหนีไม่พ้น เพราะรถตกข้างทางก่อน จึงทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานปิดล้อมรถยนต์ไว้ เพราะรู้ว่าในรถมีอาวุธ หลังจากเคลียร์ความเรียบร้อยจึงเข้าไปตรวจสอบภายในรถยนต์ ปรากฏว่าพบผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งพบอาวุธสงครามจำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบว่ากลุ่มใดเป็นผู้ลงมือกระทำ คงต้องขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวที่ออกมาระบุว่าประชาชนกลุ่มนี้กำลังเดินทางไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ต้องมองว่าหากไปทำพิธีกรรมจริงทำไมจึงมีอาวุธสงครามอยู่ในรถยนต์จำนวนมาก อีกทั้งถ้าไม่ได้กระทำผิดจริงทำไมต้องหนี
"ผมไม่เชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยทหารพรานถูกลอบยิงด้วยเอ็ม 79 ก่อน ขณะนี้กำลังตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดอยู่" พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าว และว่า หลังจากนี้ต้องเข้าไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนแน่ เพราะวิธีพูดกับวิธีปฏิบัติไม่เหมือนกัน พร้อมยืนยันว่าจะลงไปตรวจเยี่ยมพื้นที่และมอบนโยบายอย่างแน่นอน
บ้านตะโละบูโละสุดตึงเครียด
"ทีมข่าวอิศรา" ได้เดินทางเข้าไปที่บ้านตะโละบูโละ หมู่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก ซึ่งมีชาวบ้านเสียชีวิต 4 รายและได้รับบาดเจ็บอีก 4 รายจากเหตุการณ์ถูกทหารพรานยิงถล่ม โดยมีประชาชนจากทั้งในและนอกพื้นที่ที่ทราบข่าวเดินทางไปสังเกตการณ์และเยี่ยมเยียนครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
สำหรับศพทั้งหมด 4 ศพได้นำไปรวมไว้ที่ศาลามัสยิดเพื่ออาบน้ำศพ และละหมาดศพตามหลักศาสนา ก่อนเคลื่อนไปฝังไว้ที่กุโบร์ (สุสานของชาวมุสลิม)
ทั้งนี้ ชาวบ้านได้จับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งหมดรู้สึกไม่พอใจเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะข่าวที่ออกมาตั้งแต่เช้า เจ้าหน้าที่ระบุว่าเกิดจากการยิงปะทะ และให้ข่าวเสมือนผู้ตายเป็นคนร้าย โดยอ้างว่าพบอาวุธปืนสงครามอยู่ในรถ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านทราบว่ากลุ่มคนที่ถูกยิงเสียชีวิตเป็นชาวบ้านที่กำลังเดินทางไปละหมาดคนตายในอีกหมู่บ้านหนึ่ง
บรรยากาศในหมู่บ้านตึงเครียดขึ้นอีก เมื่อมีกำลังทหารพรานประมาณ 10 นายเข้าไปสังเกตการณ์ โดยทหารบางนายหยิบกล้องขึ้นถ่ายรูปช่วงที่ชาวบ้านกำลังเคลื่อนศพไปกุโบร์ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัว บางรายก็แสดงท่าทีไม่พอใจ บางคนที่ไม่ได้พกบัตรประชาชนก็กลัวจะถูกจับกุม ต้องวิ่งกลับบ้านไปนำบัตรประชาชนติดตัวมาด้วย ขณะที่บางคนยอมเดินกลับบ้าน ไม่ร่วมขบวนเคลื่่อนศพก็มี
ข้อมูลจากโชเฟอร์ : คนตายอายุกว่า 60 จะเป็นโจรได้อย่างไร
นายยา โชเฟอร์รถกระบะที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจากคมกระสุน เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า คืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.หลังจากละหมาดอิซา (ละหมาดค่ำ) มีชาวบ้านจากหมู่บ้านทุ่งโพธิ์ ต.น้ำดำ อ.หนองจิก เชิญไปร่วมละหมาดคนตายที่หมู่บ้าน พวกเขารวม 9 คนจึงพากันเดินทางไป โดยระหว่างที่รวมตัวกัน ได้ยินเสียงปืนบริเวณท้ายหมู่บ้าน จึงตกลงกันว่าออกด้านหน้าหมู่บ้านดีกว่า แม้จะอ้อมหน่อยแต่ก็น่าจะปลอดภัย
เมื่อขับรถออกไปถึงหน้าหมู่บ้าน ห่างประมาณ 200 เมตร ระหว่างที่รถขึ้นเนินเพื่อเลี้ยวเข้าถนนสาย 418 เห็นเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังอยู่บนเนิน 3 ชุด ชุดหนึ่งอยู่ด้านหน้าซึ่งเป็นปากทาง อีกชุดหนึ่งอยู่บนสะพานใกล้ๆ กัน และอีกชุดหนึ่งอยู่ห่างออกไป โดยเจ้าหน้าที่ชุดที่วางกำลังอยู่ปากทางได้ตะโกนให้จอดรถ จากนั้นคนในกระบะท้ายยืนขึ้น ตะโกนบอกว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ จะไปละหมาดคนตาย แต่เจ้าหน้าที่ก็รัวกระสุนใส่ทันที
"จากนั้นพวกเราก็หมอบลง ผมเองถูกกระสุนเฉี่ยวที่หัวไหล่ จึงเปิดประตูรถวิ่งหนีเข้าไปในป่าละเมาะเพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในหมู่บ้าน หลังจากนั้นเพื่อนบ้านก็พาไปโรงพยาบาลหนองจิก แล้วก็ไปให้ปากคำกับร้อยเวร สภ.หนองจิก กระทั่งถึงตี 4"
นายยา เล่าต่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเป็นคนร้าย เพราะความตั้งใจคือจะไปละหมาดคนตาย แต่กลับมาถูกยิงเสียเอง ส่วนเรื่องอาวุธปืนนั้น บอกได้เลยว่าเจ้าหน้าที่โกหก คนอายุ 60 ปีก็มี อายุ 15 ปีก็มี จะเป็นคนร้ายได้อย่างไร
"บอกตรงๆ ปืนยังไม่เคยจับเลย แค่ดูอยู่ห่างๆ ก็กลัวแล้ว คิดว่าหลังจากนี้ชีวิตคงไม่ปลอดภัย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเราต้องอาศัยอยู่ที่นี่ เรามันคนหาเช้ากินค่ำ มีอาชีพตัดยาง คงสู้คนติดอาวุธไม่ได้ เขาจะมายัดปืนใส่มือเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนกรณีที่กาแลกูโบ (หมู่บ้านใกล้ๆ กัน อยู่ใน ต.ปุโละปุโย ซึ่งเกิดเหตุการณ์ทหารพรานยิงเยาวชนเสียชีวิต 2 รายเมื่อปีที่แล้ว) ตอนนั้นเด็กตาย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ยังทำงานเหมือนเดิม เด็กก็ตายไป ถูกฝังไป พ่อแม่ก็ลำบากไป นั่นดีที่ตายหมด แต่นี่ยังเหลือผมและพรรคพวกอีกหลายคน ทั้งหมดต้องอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย" นายยา กล่าว
เสียงจากลูกโชเฟอร์ : เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
ลูกชายของนายยา (ขอสงวนนาม) อายุประมาณ 26 ปี กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่ก็เกิดไปแล้ว เขาได้ยินเสียงปืนตั้งแต่พ่อขับรถออกจากหมู่บ้านไม่ถึง 5 นาที คิดอยู่แล้วว่าพ่อต้องโดน แต่ก็ไม่มั่นใจ กระทั่งเห็นหน้าพ่อที่วิ่งหนีกลับมานั่นแหละ จึงชัดเจนว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นจริงๆ หลังเกิดเหตุจะออกไปดูก็ไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่บล็อกไม่ให้ออกไปไหน
"เจ้าหน้าที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน เพราะทุกคนมีลูกมีเมีย บางคนมีลูกสิบกว่าคน บางคนภรรยาก็ป่วย ทำงานไม่ได้ ต้องพึ่งสามี อย่างพ่อของผมมีลูก 6 คน ยังมีน้องอยู่ในวัยเรียนอีก 3 คน พอมาเกิดเรื่องแบบนี้ยังไม่รู้พ่อจะออกไปกรีดยางได้อีกหรือเปล่า เพราะตกอยู่ในอันตราย และคงถูกเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร เพราะเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องช่วยเหลือกัน อยากถามว่าความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน ครอบครัวผมอยากได้ความเป็นธรรม" เป็นเสียงจากลูกชายนายยา
ย้อนกรณีกราดกระสุนใส่ 2 วัยรุ่น...ตำบลเดียวกัน-ทหารหน่วยเดียวกัน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เหตุการณ์ร้ายคล้ายคลึงกับเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.2555 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 4 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 18 เม.ย.2554 หรือเมื่อไม่ถึง 1 ปีก่อน
เหตุการณ์ในครั้งนั้นสืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่ทหารพรานออกติดตามไล่ล่าคนร้ายที่ยิงถล่มฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4302 บ้านน้ำดำ หมู่ 3 ต.ปูโละปูโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ฐานเดียวกับที่ถูกยิงเอ็ม 79 ถล่มเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.2555 แต่ทหารที่ประจำการเป็นคนละชุดกัน และไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเช่นกัน โดยหลังเกิดเหตุฝ่ายทหารพรานได้จัดกำลังออกติดตามไล่ล่าคนร้าย โดยมีนายทหารระดับสัญญาบัตรเป็นหัวหน้าชุด พร้อมกำลังพลรวม 10 นาย มีรถกระบะเป็นพาหนะ
เมื่อรถแล่นถึงสะพานแห่งหนึ่งบนถนนสายบ้านบ่อทอง-ยาบี ท้องที่หมู่ 3 ต.ปุโละปุโย (ชาวบ้านเรียกบ้านกาแลกูโบ) มีรายงานจากฝ่ายทหารพรานว่าถูกคนร้ายซุ่มยิงถล่มยานพาหนะ ทำให้ อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) เฉลิมพล ศรีสุข อายุ 35 ปี ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากนั้นฝ่ายทหารพรานได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงตอบโต้จนเกิดการปะทะกันนานหลายนาทีกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้
เมื่อเสียงปืนสงบลงพบร่างผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บรวม 2 ราย โดยผู้บาดเจ็บคือ นายอับดุลเลาะ แวเยะ อายุ 19 ปี แต่ภายหลังไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุคือ นายฮัสซัน มามะ อายุ 16 ปี
ข้อมูลจากฝ่ายทหารอ้างว่า เด็กวัยรุ่นทั้ง 2 คนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาตรงจุดปะทะ เจ้าหน้าที่ได้เรียกให้จอดแต่เด็กไม่ยอมจอด เจ้าหน้าที่จึงยิงใส่จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย และเมื่อเข้าไปตรวจสอบ พบวัตถุระเบิดชนิดขว้าง 1 ลูก จึงมั่นใจว่าเด็กทั้งสองคือคนร้าย
ข้อมูลจากฝ่ายทหารสร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวของเด็กทั้งสองคนและชาวบ้านในละแวกดังกล่าวอย่างมาก ทุกคนไม่เชื่อว่าวัยรุ่นทั้งสองเป็นคนร้าย ที่สำคัญคือเหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว แต่ก็แทบไม่มีความคืบหน้าทางคดีและการเยียวยา
นางปาซียะห์ หะมูมะ อายุ 38 ปี มารดาของนายฮัสซันที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ กล่าวกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า เคยมีตำรวจเข้ามาสอบถามว่าจะเรียกเงินจากทหารเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ได้รับการติดต่อจากหน่วยเดียวคือกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (กระทรวงยุติธรรม) บอกว่าจะโอนเงินให้ประมาณ 1 แสนบาท
จากปากคำของนางปาซียะห์ ทำให้ทราบว่าเงินชดเชยที่นางกำลังจะได้รับ เป็นเพียงเงินชดเชยในฐานะที่ลูกชายผู้ล่วงลับเป็นเพียง "เหยื่ออาชญากรรม" ในลักษณะหาผู้กระทำผิดไม่ได้เท่านั้น ไม่ใช่เหยื่อของสถานการณ์ความไม่สงบด้วยซ้ำ และคดีที่ยังคงเป็นที่สงสัยของชาวบ้านก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายให้กระจ่าง
9 เดือนผ่านไป เกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันอีกครั้ง คราวนี้มีผู้สังเวยชีวิตถึง 4 ราย ต้องรอดูว่าฝ่ายรัฐจะทำอะไรที่ดีกว่าเรื่องร้ายคราวที่แล้วบ้าง...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ศพชาวบ้านที่เสียชีวิตก่อนนำไปประกอบพิธีฝังที่กุโบร์ของหมู่บ้าน (ภาพโดย อับดุลเลาะ หวังหนิ)
หมายเหตุ : ข่าว พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จากสำนักข่าวเนชั่น
อ่านประกอบ : ข้อมูลสองด้านที่บ้านน้ำดำ...เมื่อสองเยาวชนต้องตาย "ใครคือคนร้าย ใครคือผู้บริสุทธิ์?"
http://bit.ly/A47R8C