ฉบับเต็ม!ผลสอบสตง.ชี้งานก่อสร้างท่าเรือส่อเหลว 4.3 พันล.-ชำรุดเพียบ
"...ท่าเรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างบางแห่งยังขาดปัจจัยหลักสำคัญที่จะทำให้ไม่เกิดความพร้อมในการใช้ประโยชน์ และปัญหาการดูแลบำรุงรักษาท่าเรือ จะทำให้ความเสียหายของท่าเรืออาจลุกลามหรือขยายตัวมากขึ้น ทำให้ต้องใช้งบประมาณปรับปรุง/ซ่อมแซมเพิ่มมากขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้งาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ท่าเรือ..."

"ท่าเรือที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จบางส่วนไม่บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือยังขาดความพร้อมในการใช้ประโยชน์"
คือ หนึ่งในข้อหัวสำคัญของรายงานผลการตรวจสอบการดำเนินงานการพัฒนาและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางน้ำ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำไปแล้ว (อ่านประกอบ : สตง.สรุปผลสอบงานก่อสร้างท่าเรือ 'กรมเจ้าท่า' ส่อเหลว 4.3 พันล้าน)
โดยในหัวข้อนี้ สตง.ระบุสาระสำคัญว่า จากการตรวจสอบพบว่า ท่าเรือที่ก่อสร้างแล้วเสร็จโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ใช้ประโยชน์น้อยหรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ (ใช้ประโยชน์ปานกลาง) ส่งผลให้งบประมาณที่ใช้ในการลงทุนก่อสร้างท่าเรืออาจเกิดความไม่คุ้มค่า รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 4,321.45ล้านบาท หรือท่าเรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างบางแห่งยังขาดปัจจัยหลักสำคัญที่จะทำให้ไม่เกิดความพร้อมในการใช้ประโยชน์ และปัญหาการดูแลบำรุงรักษาท่าเรือ จะทำให้ความเสียหายของท่าเรืออาจลุกลามหรือขยายตัวมากขึ้น ทำให้ต้องใช้งบประมาณปรับปรุง/ซ่อมแซมเพิ่มมากขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้งาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ท่าเรือ
สำหรับสภาพปัญหาสำคัญที่ สตง.ตรวจสอบพบ มีรายละเอียดข้อมูลดังนี้
1. ท่าเรือที่ก่อสร้างแล้วเสร็จบางแห่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ใช้ประโยชน์น้อย หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ
จากการสังเกตการณ์และการตรวจสอบเอกสารข้อมูลประเมินผลการใช้ประโยชน์ท่าเรือ
ที่กรมเจ้าท่าก่อสร้าง รวม 46 แห่ง แยกเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ จำนวน 29 แห่ง และท่าเรือสาธารณะจำนวน 17 แห่ง
พบว่า
1.1 ท่าเรือที่ก่อสร้างแล้วเสร็จไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวน 4แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 8.70
งบประมาณก่อสร้าง/ปรับปรุงรวม756.97ล้านบาท ซึ่งเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ทั้งหมดได้แก่
(1) ท่าเทียบเรือ เชียงแสน 1 จ.เชียงราย งบประมาณก่อสร้าง 190.64 ล้านบาท (การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ยกเลิกการให้บริการในวันที่ 31 มีนาคม 2555 เพื่อเข้าบริหารท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 โดยเทศบาลเวียงเชียงแสนอยู่ระหว่างรอการอนุญาตให้เป็นผู้บริหารท่าเรือ ซึ่งจะดำเนินการบริหารในลักษณะท่าเรือโดยสารท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ โดย ณ วันที่สังเกตการณ์พบว่า ยังไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ทุ่นเทียบเรือแต่อย่างใด)
(2) สถานีขนส่งสินค้าเพื่อการประหยัดพลังงาน จ.พระนครศรีอยุธยา งบประมาณก่อสร้าง 379.60ล้านบาท
(3) ท่าเรือจังหวัดนครพนม (เวินพระบาท) จ.นครพนม งบประมาณก่อสร้าง 116.73 ล้านบาท
และ (4) ท่าเรือสำราญกีฬาบริเวณอ่าวฉลอง จ.ภูเก็ต งบประมาณก่อสร้าง 70.00 ล้านบาท ระยะเวลาที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 1 – 2 ปี
โดยท่าเรือจังหวัดนครพนม มีระยะเวลาที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มากที่สุดประมาณ 11 ปี เนื่องจากไม่สามารถหาผู้ที่จะมาบริหารท่าเรือได้ รวมถึงปัญหาสิ่งก่อสร้างประกอบท่าเรือชำรุดเสียหาย
1.2 ท่าเรือที่ก่อสร้างใช้ประโยชน์น้อย หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ จำนวน 19แห่ง
หรือคิดเป็นร้อยละ 41.30แยกเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ จำนวน 13 แห่ง และท่าเรือสาธารณะ จำนวน 6 แห่ง งบประมาณก่อสร้าง/ปรับปรุงรวม 3,564.48 ล้านบาท กล่าวคือ มีปริมาณเรือ ปริมาณผู้โดยสาร หรือปริมาณสินค้าเข้า – ออกท่าเรือน้อย หรือมีปริมาณการใช้งานท่าเรือเป็นสัดส่วนที่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (Feasibility Study) รวมถึงมีอาคารและสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ของท่าเรือไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือใช้ประโยชน์น้อย
2. ท่าเรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างบางแห่งยังขาดปัจจัยหลักสำคัญที่จะทำให้ไม่เกิดความพร้อมในการใช้ประโยชน์
จากการสังเกตการณ์ท่าเรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 3 แห่ง พบว่า มีท่าเรือฯ จำนวน
2 แห่ง ซึ่งเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ทั้งหมด ได้แก่
(1) ท่าเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จ.ตราด ยังมีปัญหาถนนทางเข้าท่าเรือมีความคับแคบ ไม่สามารถรองรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จะวิ่งขนถ่ายสินค้าบริเวณท่าเรือได้
อย่างไรก็ตาม กรมเจ้าท่าได้ประสานหน่วยงานที่มีภารกิจก่อสร้างถนนเพื่อปรับปรุงขยาย
ทางเข้า – ออกแล้ว โดยกระทรวงคมนาคม (คค.) มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เป็นผู้ดำเนินการปรับปรุงขยายถนนทางเข้า – ออกท่าเทียบเรือ และปัจจุบัน ทช. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผนงบประมาณเพื่อปรับปรุงขยายถนนดังกล่าว
และ (2) ท่าเรือบ้านนาเกลือ จ.ตรัง ยังขาดเครื่องมือหรืออุปกรณ์ส้าหรับเคลื่อนย้ายสินค้า ขึ้น – ลงจากเรือ เช่น เครน เป็นต้น
3. ปัญหาการดูแลบำรุงรักษาท่าเรือ
การดูแลและบำรุงรักษาท่าเรือที่กรมเจ้าท่าก่อสร้าง ในกรณีหมดอายุช่วงค้ำประกันสัญญาท่าเรือเชิงพาณิชย์ ผู้บริหารท่าเรือจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบซ่อมแซมท่าเรือ ภายใต้การกำกับของ
กรมธนารักษ์และท่าเรือสาธารณะ กรมเจ้าท่าจะเป็นผู้ซ่อมแซมบำรุงรักษา
จากการสังเกตการณ์ท่าเรือที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 25 แห่ง แยกเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ จำนวน 17 แห่ง และท่าเรือสาธารณะจ้านวน 8 แห่ง พบว่า โครงสร้างหลักของอาคารท่าเรือ และส่วนประกอบอื่น ๆ รวมถึงสิ่งก่อสร้างอาคารประกอบของท่าเรือมีความชำรุดเสียหาย โดยขาดการดูแลบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการใช้งาน ดังนี้
3.1 ด้านโครงสร้างหลักของอาคารท่าเรือ เช่น เสา คาน พื้นท่าเรือ เป็นต้น มีสภาพปูน
แตกหัก แตกกะเทาะ เป็นรอยร้าว ซึ่งจะมีผลทำให้ความเสียหายอาจลุกลามหรือขยายตัวมากขึ้น ทำให้ต้องใช้งบประมาณในการซ่อมแซมท่าเรือเพิ่มมากขึ้น จำนวน 7 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 28.00 แยกเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ 6 แห่ง และท่าเรือสาธารณะ 1 แห่ง
3.2 ด้านส่วนประกอบอื่น ๆ ของท่าเรือ เช่น แท่นกันตก ราวกันตก สะพานทางขึ้น –ลง
ท่าเรือ แท่น/หลักผูกเรือ ยางกันกระแทก เป็นต้น มีสภาพปูนแตกหัก เหล็กบิดงอและเป็นสนิมผุกร่อนอุปกรณ์สูญหาย ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้งาน จำนวน 17 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 68.00 แยกเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ 12 แห่ง และท่าเรือสาธารณะ 5 แห่ง
3.3 ด้านสิ่งก่อสร้าง อาคารประกอบ และอื่น ๆ เช่น อาคารสำนักงานท่าเรือ อาคาร อเนกประสงค์ อาคารคลังสินค้า อาคาร/บ้านพักอาศัย เป็นต้น มีสภาพหลังคารั่ว ประตูไม่สามารถใช้งานได้
ลานกองสินค้าชำรุดเป็นหลุมซึ่งจะมีผลทำให้ไม่มีการใช้ประโยชน์ มีการใช้ประโยชน์น้อย หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ จำนวน 13 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 52.00 แยกเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ 10 แห่ง และท่าเรือสาธารณะ 3 แห่ง
สตง.ยังระบุด้วยว่า จากสภาพปัญหาผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการก่อสร้างท่าเรือดังกล่าวข้างต้น ท้าให้เกิดความไม่คุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินงบประมาณเกี่ยวกับการก่อสร้างท่าเรือเป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,505.40 ล้านบาท ในจำนวนนี้รวมถึงท่าเรือที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์รวมมูลค่าประมาณ 756.97 ล้านบาท หรือกรณีปัญหาท่าเรือชำรุดเสียหายและไม่ได้รับการดูแลบำรุงรักษา ทำให้เกิดความไม่สะดวกและความไม่ปลอดภัยในการใช้งาน เป็นต้น
สตง.ยังระบุด้วยว่า และเมื่อพิจารณาข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่16 มิถุนายน 2558 ด้านเศรษฐกิจ ข้อที่ 3 และนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งในระยะยาว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 โดยมีแผนงานพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้้าในการพัฒนาท่าเรือซึ่งด้าเนินการโดยกรมเจ้าท่า เป็นจำนวนเงินมากถึง 6,800.33 ล้านบาท เช่น โครงการก่อสร้างท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise) ที่ จ.กระบี่ และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานีโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกจังหวัดสตูล (ปากบารา) โครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 โครงการท่าเรือชุมพร และโครงการสถานีขนส่งทางน้ำเพื่อการประหยัดพลังงานที่จังหวัดอ่างทอง เป็นต้น
ทั้งนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่าควรได้พิจารณาปัญหาจากผลการตรวจสอบข้างต้นเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาและบริหารจัดการท่าเรือให้มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลตามที่ก้าหนด และไม่เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินต่อไป
โดยเบื้องต้นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้มีหนังสือ ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว
