ผลวิจัย ชี้ ‘นมยูเอชที’ ครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ประชาชน 40% เชื่อถือโฆษณานมแค่ระดับปานกลาง
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ (Social Innovation Management and Business Analysis, SIMBA) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง “พฤติกรรมการเลือกดื่มนมในปัจจุบัน” กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 – 50 ปีที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 722 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15 – 25 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อสอบถามถึงผลิตภัณฑ์นมที่นิยมดื่ม พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนิยมดื่มนมยูเอชทีมากกว่านมพาสเจอร์ไรซ์ โดยร้อยละ 83.1 ของเพศหญิงระบุชอบดื่มนมยูเอชที เช่นเดียวกับเพศชายที่พบว่ามีสัดส่วนของผู้ที่ระบุชอบดื่มนมยูเอชที คิดเป็นร้อยละ 78.9 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามเมื่อจำแนกตามช่วงอายุของกลุ่มคนที่นิยมดื่มนมยูเอชที พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 79.2 ระบุอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 84.7 ระบุช่วงอายุ 20 - 29 ปีซึ่งเป็นช่วงอายุที่นิยมดื่มมากที่สุด ร้อยละ 77.7 ระบุช่วงอายุ 30 - 39 ปี และร้อยละ 81.7 ระบุช่วงอายุ 40 - 50 ปี ในขณะที่กลุ่มคนที่นิยมดื่มนมพาสเจอร์ไรซ์มากที่สุด คือ ช่วงอายุ 30 - 39 ปี ร้อยละ 22.3
และเมื่อทำการจำแนกตามรายได้ของกลุ่มคนที่นิยมดื่มนมยูเอชที พบว่า ร้อยละ 81.3 ระบุรายได้ไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 77.0 ระบุรายได้ 5,001 - 10,000 บาท ร้อยละ 80.9 ระบุรายได้ 10,001 - 15,000 บาท ร้อยละ 89.0 ระบุรายได้ 15,001 - 20,000 บาทซึ่งเป็นช่วงรายได้ที่นิยมดื่มมากที่สุด และร้อยละ 81.5 ระบุรายได้มากกว่า 20,000 บาท ในขณะที่ ร้อยละ 23.0 ในช่วงรายได้ 5,001 - 10,000 บาท นิยมดื่มนมพาสเจอร์ไรซ์มากกว่าช่วงรายได้อื่น ซึ่งเหตุผลที่นมยูเอชทีสามารถครองใจตลาดในทุกเพศ ทุกวัยส่วนหนึ่งมาจากนมยูเอชทีสามารถเก็บได้นานกว่านมพาสเจอร์ไรซ์
นอกจากนี้เมื่อถามถึงชนิดของนมพร้อมดื่มที่นิยมดื่มมากที่สุด พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 21.5 ระบุนมสดรสจืด รองลงมาร้อยละ 13.9 ระบุนมเปรี้ยวรสผลไม้ ร้อยละ 12.5 ระบุโยเกิร์ตพร้อมดื่ม เช่น ยาคูลท์ บีทาเก้น ร้อยละ 12.1 เท่ากันระบุนมสดรสจืดแบบพร่องมันเนยและนมที่ปรุงแต่งสี - รสเลียนแบบธรรมชาติ เช่น รสหวาน รสช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณาคือ พฤติกรรมในการเลือกซื้อนมพร้อมดื่มของกลุ่มตัวอย่างกว่าครึ่งหรือร้อยละ 57.4 ยังคงมีพฤติกรรมในการซื้อยี่ห้อเดิม รสชาติ/ส่วนผสมแบบเดิมอยู่ ในขณะที่การเปลี่ยนยี่ห้อ รสชาติ/ส่วนผสมเดิม มีเพียงร้อยละ 14.8 ส่วนการเปลี่ยนยี่ห้อ เปลี่ยนรสชาติ/ส่วนผสม พบอยู่ที่ร้อยละ 14.6 และการซื้อยี่ห้อเดิม เปลี่ยนรสชาติ /ส่วนผสม อยู่ที่ร้อยละ 13.2 ตามลำดับ
เมื่อถามถึงขนาดของนมพร้อมดื่มยูเอชทีที่ดื่มเป็นประจำ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 48.8 ระบุขนาด 250 มล. รองลงมา ร้อยละ 27.5 ระบุขนาด 150 มล. ร้อยละ 20.9 ระบุขนาด 200 มล. ร้อยละ 2.2 ระบุขนาด 1,000 มล. และร้อยละ 0.6 ระบุขนาด 1,200 มล.
ประโยชน์ของนมที่สามารถดึงดูดให้เกิดความต้องการดื่ม พบว่าตัวอย่างร้อยละ 37.4 ระบุดื่มเพื่อสุขภาพร่างกายและเน้นเสริมความแข็งแรงของกระดูก ระบบประสาท เช่น การเติมแคลเซียม งาดำ โอเมก้า รองลงมาร้อยละ 33.9 ระบุดื่มเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยไม่มีการเติมสารอาหารอื่นเพิ่มลงในนม ร้อยละ15.9 ระบุดื่มเพื่อสุขภาพร่างกายและเน้นการควบคุมน้ำหนัก ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ ระบบขับถ่าย เช่น มีแอลคาร์นิทีน สารสกัดจากถั่วขาว จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่างๆ และร้อยละ 12.8 ระบุดื่มเพื่อสุขภาพร่างกายและเน้นเสริมการบำรุงผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น การเติมคอลลาเจน วิตามิน ACE สารสกัดจากชาเขียว
ประเด็นที่น่าพิจารณาคือเมื่อถามถึงความน่าเชื่อถือในประโยชน์ที่ได้รับจากนมตามโฆษณา พบว่าตัวอย่างเกือบครึ่งหรือร้อยละ 43.9 ระบุเชื่อถือในระดับปานกลาง ร้อยละ 35.3 เชื่อถือในระดับมาก - มากที่สุด และร้อยละ 20.8 เชื่อถือในระดับน้อย - ไม่เชื่อเลย
จากการพิจารณาจากลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 46.8 เป็นชาย และร้อยละ 53.2 เป็นหญิง โดยร้อยละ 3.4 ระบุอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 29.4 ระบุอายุ 21–29 ปี ร้อยละ 29.9 ระบุอายุ 30 – 39 ปี ร้อยละ 37.3 ระบุอายุ 40 – 50 ปี กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 64.3 ระบุสำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 32.7 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 3.0 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 17.3 ระบุรายได้ไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 32.4 ระบุรายได้ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 16.2 ระบุรายได้ 10,001-15,000 บาท ร้อยละ16.6 ระบุรายได้ 15,001-20,000 บาท และร้อยละ 17.5 ระบุรายได้มากกว่า 20,000 บาท