ศาล ปค.สั่งผู้ว่าฯสงขลาขออนุญาตกรมเจ้าท่าก่อนทำโครงการป้องกันกัดเซาะชายฝั่งหาดสมิหลา
ศาลปกครองพิพากษาให้ผู้ว่าฯสงขลาขออนุญาตจากกรมเจ้าท่าภายใน 30 วันก่อนดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ ให้กรมเจ้าท่ามอบอำนาจให้ถูกต้องตามพระราชกฤษฎีกา

ศาลปกครองสงขลา แผนกคดีสิ่งแวดล้อม อ่านคำพิพากษา ในคดีที่สงขลาฟอรั่ม โดย นางพรรณิภา โสตถิพันธุ์ ที่ 1 ชมรม Beach for life โดย นายอภิศักดิ์ ทัศนี ที่ 2 กลุ่ม Crescent Moon lawyers โดย นางสาวอลิสา บินตุส๊ะ ที่ 3 กลุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนเก้าเส้ง โดย นายสมพล ดีเยาะ ที่ 4 นางพรรณิภา โสตถิพันธุ์ ที่ 5 นายอภิศักดิ์ ทัศนี ที่ 6 นางสาวอลิสา บินดุส๊ะ ที่ 7 และนายสมพล ดีเยาะ ที่ 8 ยื่นฟ้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ที่ 1 สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา ที่ 2 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ 3 กรมเจ้าท่า ที่ 4 และเทศบาลนครสงขลา ที่ 5 (ผู้ถูกฟ้องคดี) กรณี พิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และการกระทำละเมิดของหน่วยงาน ทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดได้ยื่นฟ้องในฐานะตัวแทนกลุ่มประชาคมและในฐานะส่วนตัว สรุปได้ว่า
ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา–ชลาทัศน์ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ หาดสมิหลาเกิดสภาพปัญหาการพังทลายของชายหาดอย่างรุนแรงอันส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ โดยไม่ดำเนินการตรวจสอบ ปกป้อง ป้องกัน การกัดเซาะชายหาดดังกล่าว จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา–ชลาทัศน์ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมิให้ดำเนินโครงการทั้งหมด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามโครงการดังกล่าว และปรับสภาพพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม รวมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันจัดทำโครงการ โดยให้มีกระบวนการ มีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และให้เป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล
ศาลปกครองสงขลา แผนกคดีสิ่งแวดล้อม มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ผู้ฟ้องคดีที่ 5 ผู้ฟ้องคดีที่ 6 และ ผู้ฟ้องคดีที่ 7 เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 แต่ละรายเป็นคณะบุคคลที่รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายใต้เขตพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งรวมถึงชายหาดที่พิพาทด้วย สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ 5 ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีที่ 6 ซึ่งเป็นสมาชิกและผู้ประสานงานของผู้ฟ้องคดีที่ 2 และผู้ฟ้องคดีที่ 7 ซึ่งเป็นสมาชิกและ ผู้ประสานงานของผู้ฟ้องคดีที่ 3ล้วนแล้วแต่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดสงขลา จึงมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากชายหาดที่พิพาท และถือเป็นองค์ประกอบของชุมชนในจังหวัดสงขลา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล ตามนัยบทนิยามคำว่า “ชุมชนชายฝั่ง” ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ผู้ฟ้องคดีที่ 5 ผู้ฟ้องคดีที่ 6 และผู้ฟ้องคดีที่ 7 จึงมีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในส่วนของตน และ มีส่วนได้เสียกับการใช้สิทธิชุมชนชายฝั่ง เพื่ออนุรักษ์และบำรุงรักษาชายหาดที่พิพาท ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งหกจึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง
ประเด็นที่สอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในแต่ละปี ชายหาดที่พิพาทจะได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเวลาระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม และบางปีอาจมีพายุจรในช่วงเปลี่ยนฤดูกาลในช่วงปลายเดือนตุลาคมและในช่วงเวลาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม ซึ่งทำให้ชายหาดดังกล่าวมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการกัดเซาะชายหาดครั้งสำคัญ เริ่มเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เมื่อเรือ Gernar-II สัญชาติปานามา ได้ถูกพายุพัดเข้ามาเกยตื้นด้านเหนือของหาดเก้าเส้ง ทำให้พื้นที่ชายหาดด้านทิศเหนือของซากเรือเกิดการกัดเซาะ เนื่องจากลำเรือไปขวางทิศทางของตะกอนชายฝั่ง แม้ต่อมาภายหลังจะได้มีการรื้อถอนซากเรือออกไป แต่การกัดเซาะชายหาดก็ยังเกิดขึ้นตลอดมา อีกทั้งยังทวีความเสียหายที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานจึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องมาโดยลำดับ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการกัดเซาะของหาดทรายในบริเวณดังกล่าวได้ ดังนั้น เมื่อนายอำเภอเมืองสงขลาได้รายงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาภายใต้ขอบเขตอำนาจของตนและตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงได้มอบหมายให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จัดทำโครงการป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลา–ชลาทัศน์ ๒๕๕๘ โดยแบ่งออกเป็น 2 โครงการย่อย และทั้งสองโครงการใช้วิธีการขุดลอกทรายเพื่อนำไปเติมทรายชายหาด พร้อมกับการหล่อและวางโครงสร้างกำแพง หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการดังกล่าวหลายครั้ง โดยโครงการที่ 1 ได้แก้ไขจากเดิม โดยเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการฝังแท่งคอนกรีตลงไปในทรายที่ชายหาด ไม่ได้วางไว้ในน้ำ และแท่งคอนกรีตดังกล่าวจะมีหูหิ้วให้เคลื่อนย้ายได้ ส่วนโครงการที่ 2 เปลี่ยนเป็น การเติมทรายเพียงอย่างเดียว ต่อมา ในวันที่ศาลออกตรวจสถานที่เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ให้ถ้อยคำในระหว่างที่ศาลไปตรวจสถานที่ว่า แท่งคอนกรีตที่ศาลและคู่กรณีทุกฝ่ายพบเห็นบนหาดทรายนั้นเป็นแท่งคอนกรีตตามสัญญาจ้างเดิมก่อนปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้าง
ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้สั่งให้ผู้รับจ้างรื้อถอนแท่งคอนกรีตขึ้นมาจากชายหาด ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เห็นว่าแท่งคอนกรีตทั้งหลายไม่ได้ติดตั้งเป็นการถาวร แต่สามารถรื้อถอนได้ ซึ่งเมื่อได้แก้ไขโครงการแล้ว จะมีเพียงโครงการที่ 1 เท่านั้น ที่ยังคงให้มีแท่งคอนกรีตในระยะทาง 500 เมตร ส่วนอีกโครงการหนึ่ง ได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นการเติมทรายเพียงอย่างเดียว ในระยะทาง 1,100 เมตร และต่อมาในวันที่ 8 กันยายน 2558 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ส่งเอกสารแสดงการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างสำหรับทั้งสองสัญญาต่อศาล โดยมีการปรับปรุงแก้ไขให้ใช้วิธีการเติมทรายเพียงอย่างเดียวสำหรับทั้งสองโครงการ โดยไม่มีโครงสร้างแบบแข็ง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ในขณะที่มีการฟ้องคดี โครงการที่พิพาทได้ใช้แท่งคอนกรีตรูปตัวไอเป็นเครื่องกั้นขวางไว้มิให้ทรายที่อยู่ในระหว่างแท่นคอนกรีตทั้งหลายเหล่านั้นถูกคลื่นลมพัดพาเคลื่อนออกไปจากชายหาดที่พิพาทได้โดยง่าย จึงเป็นการบังคับมิให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมวลทรายโดยกระบวนการตามธรรมชาติ ซึ่งมีผลเป็นเช่นเดียวกันกับการดักให้ตะกอนสะสมอยู่ระหว่างโครงสร้าง แต่ละแนว จึงมีลักษณะเป็นรอดักทรายที่มีการก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล
ดังนั้น การจัดทำโครงการ ที่พิพาทจึงต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
ดังนั้น เมื่อโครงการที่พิพาทมิได้ดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การดำเนินโครงการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ศาลรับคำฟ้องในคดีนี้ไว้พิจารณาแล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้แก้ไขรายละเอียดของโครงการ โดยยกเลิกงานหล่อและฝังโครงสร้างแบบแข็งที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด โดยให้ขุดและขนทรายมาถมในบริเวณที่จัดทำโครงการแต่เพียงอย่างเดียว อันมีผลทำให้โครงการที่พิพาทถูกปรับเปลี่ยนสาระของการดำเนินการจนไม่อยู่ในบังคับให้ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป ดังนั้น ศาลจึงไม่จำเป็นต้องมีคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอีกแม้โครงการที่พิพาทจะเป็นโครงการของรัฐ ตามนัยบทนิยามคำว่า “โครงการของรัฐ” ในข้อ 4 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 ก็ตาม
แต่มิได้มีลักษณะเป็นโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ที่จะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีก่อนเริ่มดำเนินการแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่2 จึงมีแต่เพียงหน้าที่ที่ต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวเท่านั้น ส่วนจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และในกรณีนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่พิพาทแก่ประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ ตามสมควรแล้ว
เนื่องจากโครงการที่พิพาทจะต้องมีการดูดทรายนอกชายฝั่งและจัดทำโครงการลงบนชายหาด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการขออนุญาตจาก “เจ้าท่า” ซึ่งได้แก่ อธิบดีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า อธิบดีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ได้มอบอำนาจในการอนุญาตที่อาจเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการนี้บางประการให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ก็หาได้ครอบคลุมครบถ้วนในทุกกิจกรรมของโครงการแต่อย่างใดไม่ นอกจากนั้น โครงการที่พิพาทหาใช่กรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ที่หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะหรือสิทธิของบุคคล จะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขได้ หรือไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนผู้นั้นได้ อันเข้าข้อยกเว้น ที่จะทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจที่จะทำการพิจารณาทางปกครอง เพื่อออกคำสั่งอนุญาตให้แก่ตนเองได้ ตามนัยมาตรา 13 ประกอบกับมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ถือเอาว่า เมื่อตนได้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ให้เป็นเจ้าท่าแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขออนุญาตและได้ดำเนินโครงการที่พิพาทเสมือนหนึ่งว่าได้รับอนุญาตแล้วโดยปริยาย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติด้วยในเวลาเดียวกัน
ประเด็นที่สาม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า
1. กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้รับหนังสือจากผู้ฟ้องคดีที่ 2 ผู้ฟ้องคดีที่ 3 และผู้ฟ้องคดีที่ 6 ที่ขอให้ระงับโครงการที่พิพาทไว้ก่อน โดยแสดงเหตุผลว่าโครงการที่พิพาทมีการใช้โครงสร้างแบบแข็งอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชายหาด ที่พิพาท หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 พิจารณาแล้วพบว่าโครงการที่พิพาทโครงการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชายหาดที่พิพาทจริง อธิบดีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จะต้องใช้อำนาจสั่งให้ระงับโครงการที่พิพาทไว้ชั่วคราว แต่ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เห็นว่ายังไม่มีพยานหลักฐานที่จำเป็นแก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งหลายกล่าวอ้าง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ก็ย่อมมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม และในกรณีที่ยังไม่มีคำยืนยันทางวิทยาศาสตร์ อย่างแน่ชัด เพียงแต่มีความเป็นไปได้ว่าโครงการที่พิพาทอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ย่อมสมควรจะใช้อำนาจระงับยับยั้งโครงการที่พิพาทไว้ก่อน อันเป็นไปตามหลักการทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญประการหนึ่ง ก็คือหลักการระวังไว้ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในอันที่จะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีหนังสือให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ชี้แจง และเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ชี้แจงแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ก็แสดงการรับรู้ข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า ข้อมูลของทั้งสองฝ่ายสับสนไม่ตรงกัน แล้วเพียงแต่ขอให้จังหวัดสงขลาเป็นผู้พิจารณาและดำเนินการให้ชัดเจนและไม่ให้เกิดความสับสน โดยหาได้ดำเนินการในประการอื่นใดตามควรแก่กรณี เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอต่อการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาว่าจะสั่งระงับโครงการที่พิพาทไว้เป็นการชั่วคราวหรือไม่ นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงละเลยต่อหน้าที่ตามที่มาตรา 17 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 กำหนดให้ต้องปฏิบัติ แต่เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินโครงการมาใช้วิธีการถมทรายเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการที่แสดงให้เห็นว่าเป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อชายหาดที่พิพาทและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดแล้ว จึงทำให้ไม่มีข้อเท็จจริงที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จำเป็นต้องใช้อำนาจตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวอีกต่อไป ศาลจึงไม่จำต้องกำหนดคำบังคับสำหรับกรณีนี้แต่อย่างใด
2. กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า อธิบดีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ได้มอบอำนาจ “เจ้าท่า” ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 บางประการ เพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีอำนาจพิจารณาและอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ เฉพาะสิ่งปลูกสร้างตามประเภทที่กำหนด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ใช้อำนาจที่ได้รับมอบโดยไม่ถูกต้องหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหาย ในกรณีเช่นนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ซึ่งมีหน้าที่ที่จะกำกับและแนะนำการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ออกคำสั่งแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หยุดการปฏิบัติราชการไว้ก่อน รวมทั้งเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นโดยตรง ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างน้อยประการหนึ่งประการใดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ข้างต้น
ดังนั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มิอาจแสดงข้อเท็จจริงให้ศาลเห็นได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ได้ดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในกรณีดังกล่าวอย่างไร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จึงละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
3. กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา 16 (27) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 มีอำนาจและหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 จึงมีอำนาจและหน้าที่ในการดูแลรักษาชายหาดที่พิพาทอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามนัยมาตรา 1304 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีหน้าที่ร่วมกันกับนายอำเภอเมืองสงขลาตามนัยมาตรา122 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 และการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินเพื่อให้คงอยู่และไม่ถูกผู้ใดรุกล้ำเบียดเบียนไปเป็นของตน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ใช้พื้นที่บางส่วนของชายหาดที่พิพาทเพื่อประโยชน์แก่การป้องกันการกัดเซาะชายหาด การเข้าใช้ชายหาดที่พิพาทดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันชายหาดที่พิพาทด้วยเช่นกัน และมิได้เปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินจากสาธารณสมบัติแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกันเป็นประการอื่น จึงหาใช่กรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 จะต้องใช้อำนาจในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันชายหาดที่พิพาทตามนัยมาตรา 122 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2547 แต่อย่างใดไม่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 จึงมิได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
ประเด็นที่สี่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีนี้หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่ปล่อยให้โครงการดำเนินการต่อไป กับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการที่พิพาทที่อาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางวิชาการและมาตรฐานในทางเทคนิคในเรื่องต่างๆ ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งหลายได้เสนอต่อศาลแล้ว นั้น หากให้โครงการที่พิพาทดำเนินการต่อไปจะเป็นประโยชน์แก่การปกป้องชายหาด ที่พิพาทมากกว่าความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น กรณีจึงต้องถือว่าโครงการที่พิพาทไม่ทำให้เกิด ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งหลายแต่อย่างใด
ดังนั้น ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการขออนุญาตต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องดำเนินการตามโครงการที่พิพาททั้งในส่วนที่ได้ดำเนินการแล้วและในส่วนที่ยังมิได้ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ดำเนินการ ตามที่มาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 กำหนดไว้ สำหรับการมอบอำนาจ “เจ้าท่า” ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
