พลิกปูม‘โดนัลด์ ทรัมป์’จากนักธุรกิจสู่ ปธน.-จับตาท่าทีสหรัฐฯดีขึ้นหรือแย่ลง?
“…สาเหตุหลักที่ทำให้ ‘ทรัมป์’ ก้าวขึ้นสู่ ‘เบอร์หนึ่ง’ ของสหรัฐฯได้ อาจเป็นเพราะประชาชนจำนวนมากออกอาการเบื่อนักการเมืองที่ ‘ดีแต่พูด’ ซึ่งแตกต่างจาก ‘ทรัมป์’ ที่ดูเอาจริงเอาจัง พูดจาขวานผ่าซากซึ่งดูจริงใจ ไม่เหมือนนักการเมืองจำนวนมากที่ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้จริงเหมือนกับตอนหาเสียง…”
ในที่สุดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ทุกสายตาทุกประเทศบนโลกนี้จับตาก็สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากการขับเคี่ยวกันมานานนับปีระหว่างสองพรรคใหญ่ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองในสหรัฐฯมาเนิ่นนาน ระหว่าง ‘รีพับลิแกน’ และ ‘เดโมแครต’
ผลคือ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เศรษฐีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ตัวแทนพรรครีพับลิแกน เป็นฝ่ายชนะ ‘ฮิลลารี คลินตัน’ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ยุค ‘บารัก โอบามา’ ตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปอย่างค่อนข้างลอยลำ ด้วยคะแนน 276 : 218 (ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ)
นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯไปแบบเรียบร้อยโรงเรียนรีพับลิแกนแล้ว !
(อ่านประกอบ : ผลไม่เป็นทางการ'ทรัมป์'นั่งเก้าอี้ ปธน.สหรัฐฯ! ชนะ'คลินตัน'ขาดลอย 276:218)
สวนทางผลโพลล์หลายสำนักก่อนหน้านี้ที่เก็งไว้ว่า ‘คลินตัน’ อาจ ‘เฉือน’ ชนะ ‘ทรัมป์’ ไปไม่มากนัก
ท่ามกลางความยินดีปรีดาของอีกหลายประเทศที่เล็งเห็นช่องทางการทำธุรกิจกับสหรัฐฯ และความวิตกกังวลของอีกหลายประเทศที่เห็นว่า นโยบายที่แข็งกร้าวของ ‘ทรัมป์’ อาจจุดชนวนความขัดแย้งในโลกรอบใหม่ขึ้นมาอีก ถัดจากยุค ‘จอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช’ อดีตผู้นำสหรัฐฯที่มาจากพรรครีพับลิแกนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่เปิดสงครามในประเทศอิรัก จนส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯถึงในปัจจุบัน
เพื่อให้สาธารณชนรับทราบมากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวมประวัติ-นโยบาย-การหาเสียงของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สรุปไว้ ดังนี้
ก่อนหน้าจะเข้าสู่แวดวงการเมือง ‘ทรัมป์’ หรือชื่อเต็ม ‘โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์’ เป็นบุตรชายของ ‘เฟรด ทรัมป์’ เศรษฐีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดย ‘ทรัมป์’ คนลูกได้รับอิทธิพลในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากผู้เป็นบิดาอย่างมาก โดยเมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตันของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียในปี ค.ศ. 1963 ได้เข้าร่วมบริษัท ทรัมป์ออร์กาไนเซชั่น ของบิดาทันที
เบื้องต้น ‘ทรัมป์’ เริ่มงานโดยปรับปรุงโรงแรมคอมมอดอร์ จนเป็นแกรนด์ไฮแอตต์ ก่อนจะพัฒนาหลายโครงการที่เป็นที่พักอาศัย กระทั่งขยับขยายเข้าสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมการบิน และธุรกิจกาสิโน อย่างไรก็ดีในช่วงต้นปี ค.ศ. 1990 ‘ทรัมป์’ ค่อนข้างล้มเหลวในการประกอบธุรกิจ และมีปัญหาด้านการเงิน กระทั่งมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี ค.ศ. 1990 โดยสร้าง ‘ทรัมป์เวิลด์ทาวเวอร์’ ได้สำเร็จ สูง 72 ชั้น อยู่ตรงข้ามสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ รวมถึงสร้าง ‘ทรัมป์เพลซ’ เป็นอาคารหลายแห่งริมแม่น้ำฮัดสัน นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของพื้นที่การค้าใน ‘ทรัมป์อินเตอร์แนชั่นแนลแอนด์ทาวเวอร์’ เป็นอาคาร 44 ชั้น รวมถึงอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในแมนฮัตตันด้วย เป็นผู้ก่อตั้ง ‘ทรัมป์เอนเตอร์เทนเมนต์รีสอร์ต’ ที่มีกิจการกาสิโน และโรงแรมหลายแห่งทั่วโลก
นอกจากนี้ยังเข้าสู่วงการบันเทิง โดยเป็นทั้งนักเขียน และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ โดยรายการที่ทำให้ ‘ทรัมป์’ ประสบความสำเร็จคือรายการ The Apprentice ที่เป็นเรียลลิตี้โชว์ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ NBC ซึ่ง ‘ทรัมป์’ รับตำแหน่งเป็นพิธีกร และผู้อำนวยการสร้าง
‘ทรัมป์’ ก้าวเท้าเข้าสู่แวดวงการเมืองระดับชาติเมื่อปี 2558 โดยเปิดตัวขอเป็นผู้ลงชิงดำศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในโควตาของพรรครีพับลิแกน โดยขับเคี่ยวกันกับ ‘เท็ด ครูซ’ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส และ ‘จอห์น เคซิก’ ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นการเลือกตั้ง ‘เบื้องต้น’ เพื่อเฟ้นหาตัวแทนพรรค กระทั่ง ‘ทรัมป์’ ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิแกนสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯกับ ‘คลินตัน’ จากพรรคคู่แค้นเดโมแครต
วาทะทางการเมืองของ ‘ทรัมป์’ คือ “Make America Great Again” หรือ “สร้างอเมริกาให้เยี่ยมเหมือนเดิม” เนื่องจาก ‘ทรัมป์’ เล็งเห็นว่า ที่ผ่านมา 8 ปี ในยุคประธานาธิบดีผิวสีคนแรก ‘โอบามา’ ไม่ตอบโจทย์คนสหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯอ่อนแอ รวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯที่ผ่อนปรนจนเกินไป
นโยบายหาเสียงหลักของ ‘ทรัมป์’ ถูกหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเป็นไปอย่างอนุรักษ์นิยม และค่อนข้างเอียง ‘ขวา’ ตามแนวทางของพรรครีพับลิแกน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรั้วป้องกันชายแดนสหรัฐฯกับเม็กซิโก โดยให้เม็กซิโกออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือแม้แต่นโยบายส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมืองมาใช้แรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และอาจทำให้เกิดวิกฤติขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรงได้ นี่ยังไม่นับนโยบาย ‘เหยียด’ ทั้งสีผิวและศาสนา ไม่ว่าจะเป็น การประกาศกร้าวถ้าได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีจะห้ามชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ เป็นต้น
รวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น การทบทวนสัญญาปกป้องชาติสมาชิก ‘นาโต้’ รวมถึงให้ประเทศสมาชิกต่าง ๆ แบกรับภาระค่าใช้จ่ายร่วมกัน ‘ทรัมป์’ เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ”จะบีบให้พันธมิตรแบกรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สหรัฐฯ ต้องรับภาระมาหลายทศวรรษ ยกเลิกสนธิสัญญาต่างๆ ที่มีมาอย่างยาวนานที่เขาไม่พอใจ และให้คำจำกัดความใหม่ในความหมายของความเป็นพันธมิตรแห่งสหรัฐฯ”
และนโยบายด้านการปราบปรามการก่อการร้าย ที่ ‘ทรัมป์’ อาจใช้วิธีการที่ค่อนข้างรุนแรง แตกต่างกับนโยบายในยุค ‘โอบามา’ ที่ค่อนข้างผ่อนปรน และมีการถอนทหารออกจากหลายประเทศ
ซึ่งนโยบายต่าง ๆ ของ ‘ทรัมป์’ แม้แต่สมาชิกพรรครีพับลิแกนหลายรายยังออกอาการไม่พอใจ จนเกิดการรวมตัวแบน ‘ทรัมป์’ มาแล้ว
อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์หลายราย ต่างอธิบายว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ ‘ทรัมป์’ ก้าวขึ้นสู่ ‘เบอร์หนึ่ง’ ของสหรัฐฯได้ อาจเป็นเพราะประชาชนจำนวนมากออกอาการเบื่อนักการเมืองที่ ‘ดีแต่พูด’ ซึ่งแตกต่างจาก ‘ทรัมป์’ ที่ดูเอาจริงเอาจัง พูดจาขวานผ่าซากซึ่งดูจริงใจ ไม่เหมือนนักการเมืองจำนวนมากที่ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้จริงเหมือนกับตอนหาเสียง
คำถามที่ดังมาจากทุกฝ่ายคือสหรัฐฯอเมริกา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น ‘ยักษ์ใหญ่’ ในแทบทุกด้านของโลก จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ?
การ ‘เปลี่ยนผ่าน’ เก้าอี้จาก ‘โอบามา’ สู่ ‘ทรัมป์’ จากแนวคิดเสรีนิยม สู่แนวคิดอนุรักษ์นิยม จากนักการเมือง (ที่คนมองว่า) ดีแต่พูด สู่มหาเศรษฐีปากคอเราะร้าย จะทำให้สหรัฐฯดีขึ้นหรือเลวลงกันแน่
ต้องจับตาดูกันต่อจากนี้ แบบอย่ากระพริบตา !
หมายเหตุ : ภาพประกอบนายโดนัลด์ ทรัมป์ จาก businessinsider.com