ก.เกษตรฯโชว์ 10 ผลงาน 2 ปี คุยตั้งสภาเกษตรฯ สำเร็จ
“ธีระ” แถลงผลงาน ก.เกษตรฯ ลากยาว 2 ปี ทำ 10 เรื่องเด่นสนองรัฐบาล ชูสภาเกษตรฯแห่งชาติ -จัดระบบปลูกข้าว -พ.ร.บ.สวัสดิการชาวนา เป็นวาระต่อเนื่อง
เมื่อเร็วๆนี้ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานพัฒนาด้านการเกษตรตามแนวนโยบายรัฐบาลว่า มีเรื่องที่สำคัญคือ 1.สนับสนุนการพัฒนาการเกษตรตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวพระราชดำริ อบรมความรู้ให้เกษตรกร 156,200 ราย ผ่านศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน และขยายกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาเกษตรทฤษฎีใหม่ผ่าน 367 ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงสนับสนุนงาน 6 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเฉพาะโครงการชลประทานเพื่อบรรเทาอุทกภัยและกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร ได้แก่ โครงการเขื่อนแควน้อย จ.พิษณุโลก และโครงการห้วยโสมง จ.ปราจีนบุรี
2.ขยายพื้นที่ชลประทานและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ โดยเพิ่มพื้นที่ชลประทานใหม่ 245,855 ไร่จากโครงการก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่และกลาง และอีก 442,875 ไร่ในโครงการขนาดเล็ก, ขุดสระน้ำในไร่นาทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์ 68,909 ราย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำและบริหารจัดการน้ำในเขตชลประทานเก่า-ใหม่รวม 24.07 ล้านไร่ ส่งผลให้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทานเพิ่มขึ้น ล่าสุดเป็น 44,699 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 13.69 ล้านไร่
3.ดำเนินการจัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งได้ผลักดันต่อเนื่องจน พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ และได้เตรียมพร้อมจัดตั้งสภาฯ กำหนดหลักเกณฑ์และคู่มือปฏิบัติงาน จัดเตรียมบัญชีรายชื่อเกษตรกรเพื่อเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรระดับหมู่บ้านในวันที่ 13 ก.พ. 4. สำรวจครัวเรือนเกษตรกรและขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6.2 ล้านครัวเรือน นำไปสู่โครงการประกันรายได้เกษตรกร โดยผู้เข้าร่วมต้องขึ้นทะเบียนกับ กษ.เพื่อเป็นหลักฐานในการทำสัญญากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งในปีเพาะปลูก 2552-2554 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนอย่างต่อเนื่องจนถึง 4.901 ครัวเรือน
5.ปฎิรูประบบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร โดยเสนอแผนเตรียมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตรต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพทั้งระดับนโยบายและปฏิบัติในส่วนกลางและจังหวัด ลดขั้นตอนย่นระยะเวลาช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และมอบเงินช่วยเหลือภายใน 90 วัน ซึ่งแผนดังกล่าวประสบความสำเร็จมาก ทั้งนี้ยังเสนอ ครม.เห็นชอบเพิ่มอัตราเงินช่วยเหลือกรณีพิเศษสำหรับเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านพืชเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 ของต้นทุนการผลิต รวมถึงการควบคุมโรคระบาดจากศัตรูพืชใน 11 จังหวัด พื้นที่ 198,146 ไร่
6. จัดทำและบริหารยุทธศาสตร์มาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหาร ทำให้สินค้าเกษตรส่งออกของไทยกว่าร้อยละ 99.8 ที่ผ่านการรับรองไม่ถูกแจ้งเตือนจากต่างประเทศ รวมทั้งกำหนดตราสัญลักษณ์แสดงผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ให้เป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ และพัฒนาระบบตรวจสอบในหลายๆสินค้า เริ่มนำร่องจากสินค้าไก่ ซึ่งส่งออกได้เป็นอันดับ 1 โดยยอดส่งออกปี 2552 คือ 42,542 ล้านบาท 7.ริเริ่มโครงการจัดระบบการปลูกข้าว กำหนดให้มีการปลูกข้าวไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และมีการปลูกพืชหลังนาหรือพืชปุ๋ยสดโดยมีการจัดหาตลาดรองรับผลผลิตพืชดังกล่าว มีช่วงเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี (ปี 2554-2556) เป้าหมาย 9 ล้านไร่ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด
8.ส่งเสริมความเข้มแข็งเกษตรกรและสวัสดิการ โดยทำร่าง พ.ร.บ.กองทุนสวัสดิการชาวนา ให้สมาชิกมีสวัสดิการรายเดือนเมื่ออายุครบ 65 ปี หรืออายุครบ 60 ปีกรณีเป็นสมาชิกแล้ว 15 ปี สวัสดิการตกทอด(เมื่อตาย) และผลประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) 9.การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร ค้นคว้าวิจัยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี เหมาะกับสภาพแวดล้อม เช่น ข้าวพันธุ์ กข 37 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 602 กก./ไร่ ต้านทานโรคเพลี้ยกระโดดหลังขาว และส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ลดสารเคมีการเกษตรในพื้นที่ 31.718 ล้านไร่
“สุดท้ายคือพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเกษตรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อยกระดับรายได้ครัวเรือนเพิ่มมูลค่าการผลิตภาคเกษตรตามแผนพัฒนาพิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่นาร้าง 14,275 ไร่ เลี้ยงปลาในกระชังและบ่อดิน 2,274 ราย เป็นต้น” รมว.กษ กล่าว.