หยุดทำร้ายกันเสียที...เสียงก้องจากปัตตานีของเหยื่อระเบิดตลาดโต้รุ่ง
“ขอให้คนที่ทำหยุดเถิด ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้สึกหรอก ขอร้องให้หยุดทำคนที่ไม่รู้อะไรเลย”
เป็นเสียงของ วลี เขียวเข้ม มารดาของ มโนชา พงษ์เสาร์ หรือ เบียร์ ลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวเบิ้ม หน้าตลาดโต้รุ่งปัตตานี ที่ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าอย่างจังเมื่อค่ำวันจันทร์ที่ 24 ต.ค.59 จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียดวงตาไป 1 ข้าง และตัดขาอีก 1 ข้าง
เบียร์มีลูกเล็กๆ 3 คน คนโตชื่อ ด.ญ.วานีเชียร ขะนะ อายุ 5 ขวบ คนรองชื่อ ด.ญ.รุ้งตะวัน ขะนะ อายุ 3 ขวบครึ่ง และคนเล็กคือ ด.ญ.โรสริน พงษ์เสาร์ อายุแค่ขวบเดียว
เบียร์ทำงานเป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวเบิ้ม มีรายได้วันละ 200 บาท ที่ผ่านมาก็แทบไม่พอเลี้ยงดูลูกน้อยทั้ง 3 คนอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีแม่อย่างวลีช่วยกันทำมาหากิน ทว่าเมื่อเบียร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นพิการ ภาระของวลีย่อมหนักขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เบียร์เลิกกับแฟนตั้งแต่ลูกคนเล็กยังเล็กๆ เราก็ต้องดูแลหลานๆ เป็นปกติอยู่แล้ว พอเบียร์มาโดนระเบิด หมอต้องตัดขาและควักลูกตา 1 ข้าง หลังจากนี้ภาระยิ่งตกมาอยู่ที่เรา ต้องมาเลี้ยงลูกสาวอีกคน เราเองก็ทำอาชีพขายข้าวแก้งหน้าตลาดพิธาน (ตลาดเทศบาล) ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปขายของ เพราะต้องดูแลหลานอีก ลูกอีก ไม่รู้จะทำอย่างไร” วลีกล่าวอย่างทดท้อ
ขณะที่ ด.ญ.วานีเชียร ขะนะ ลูกสาวคนโตของเบียร์ กล่าวถึงแม่อย่างน่าสงสาร
“แม่เบียร์ถูกระเบิด ถูกตัดขาและตามองไม่เห็น วันนี้มาให้กำลังใจแม่เบียร์ รักแม่เบียร์ ขออย่ามาทำร้ายแม่เบียร์”
เหตุระเบิดบริเวณตลาดโต้รุ่งในครั้งนี้ มีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต 1 ราย คือ นางสมพร ขุนทะกาพันธ์ อายุ 60 ปี มีอาชีพขายปลาหมึกย่างตามตลาดเปิดท้าย นางสมพรไม่ได้ขายของที่ตลาดแห่งนี้ เพียงแต่ก่อนเกิดเหตุได้ปั่นจักรยานมานั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวก่อนกลับบ้าน และถูกระเบิดจนเสียชีวิต
ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกราย คือ “น้องมายด์” หรือ นริศรา มากชูชิต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี แพทย์โรงพยาบาลปัตตานีต้องตัดขาเพื่อรักษาชีวิต ก่อนส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยอาการของน้องมายด์หนักมาก ตอนแรกหยุดหายใจไปแล้ว แต่แพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจขึ้นมาได้
อีกรายหนึ่ง คือ ด.ช.พรหมพิริยะ พรหมนุกุล อายุ 7 ขวบ อาการยังสาหัส แพทย์ได้ผ่าตัดลำไส้ เพราะถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ท้อง ขณะเกิดเหตุ ด.ช.พรหมพิริยะแวะไปรับประทานอาหารที่ตลาดกับครอบครัว คือ พ่อ แม่ และน้องชาย ทุกคนได้รับบาดเจ็บทั้งหมด
นอกจากนั้นยังมีเด็กอีก 3 คนถูกสะเก็ตระเบิด คือ ด.ช.อาบูตอเล็บ กอและ อายุ 12 ปี รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนองจิก จ.ปัตตานี ด.ช.ณัฐริกา ขันทะวัติ และ ด.ญ.จุฑามาศ ทิมทอง โชคดีอาการไม่สาหัส แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้
นพ.อรุณ ประเสริฐสุข รองผู้อํานวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลปัตตานี กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในคืนเกิดเหตุทั้งหมด 21 คน เสียชีวิต 1 คน ที่ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงขณะนี้มี 11 คน ในจำนวนนั้นมี 2 คนที่อาการสาหัส ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดในห้องไอซียู คือ นางมโนชา พงษ์เสาร์ อายุ 30 ปี กับ ด.ช.พรหมพิริยะ
สำหรับน้องมายด์ หรือ น.ส.นริศรา เหตุผลที่ต้องส่งไปโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพราะเมื่อคืนแพทย์ทางสมองหยุดพักพอดี
“โรงพยาบาลเรามีแพทย์ทางสมอง 1 คน ทำงาน 26 วัน หยุด 4 วัน เมื่อคืนตรงกับวันหยุดพอดี แพทย์กลัวว่ายิ่งดึกถ้ามีอาการทางสมองแล้วแพทย์ไม่อยู่ อาจน่าเป็นห่วงมากขึ้น จึงต้องส่งต่อไปโรงพยาบาล ม.อ.หาดใหญ่ (โรงพยาบาลสงขลานครินทร์)” หมออรุณ เล่าถึงภาวะขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
“หลังเกิดเหตุจะมีทีมจิตแพทย์ดูแลด้านจิตใจของเด็กและครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบทันที เราทำเช่นนี้มาตลอด และเรายังจัดชุดลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องด้วย” หมออรุณ กล่าว
ระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุที่ตลาดโต้รุ่ง เป็นชนิดแสวงเครื่อง ประกอบใส่กล่องเหล็ก น้ำหนักประมาณ 5-10 กิโลกรัม มีลูกเหล็กทรงกลมเป็นสะเก็ด และจุดระเบิดโดยการตั้งเวลาด้วยโทรศัพท์มือถือรุ่นซัมซุงฮีโร่ ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดพบว่า คนร้ายมี 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์มายังจุดเกิดเหตุช่วงตลาดปิด แล้วแอบซุกวัตถุระเบิดไว้ใต้ตู้เก็บของของร้านค้า เป็นระเบิดแบบตั้งเวลา และระเบิดทำงานช่วงที่มีคนพลุกพล่าน นั่งรับประทานอาหารเต็มแทบทุกโต๊ะ
นางละม้าย เพียรโคตร แม่ค้าตลาดโต้รุ้งวัย 60 ปี เล่าว่า จุดที่เกิดระเบิดรอบนี้ เคยเกิดเหตุมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองครั้งมีคนตาย หลังเกิดเหตุทุกคนใจสั่นกันหมด รีบเก็บของกลับบ้านทันทีเพราะความกลัว
“น้องสาวอยู่กำแพงเพชรโทรศัพท์มาบอกให้กลับกำแพงเพชร เขาบอกจะรอให้ขาขาดก่อนหรือถึงจะกลับ ป้าก็ตอบไปว่ากลับยังไม่ได้ ยังมีหนี้และหลานยังเรียนหนังสืออยู่ กลับไปจะทำอะไรกิน อยู่ที่นี่ยังพอทำมาหากินได้บ้าง” แม่ค้าวัยแซยิดเล่าถึงความจำเป็นที่ต้องพำนักในเมืองอันตรายต่อไป
“น้องสาวฉันเคยอยู่ที่นี่ แต่พอเกิดระเบิดเมื่อหลายปีก่อน เขาก็พาครอบครัวเขากลับกำแพงเพชร เขาบอกว่าเขากลัว” ละม้ายเล่า และว่านางไม่ได้กล้าหาญอะไรมากกว่าน้องสาว แต่ที่ต้องอยู่เพราะความจำเป็น
“ความจริงเจ้าหน้าที่ก็มาบอกอยู่นะให้ระวัง เพราะการข่าวแจ้งมาแล้ว แต่ถามว่าจะให้ระวังอย่างไร คนต้องทำมาหากินทุกวัน ระวังแล้วแต่ก็ยังเกิด ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว” นางกล่าวอย่างปลงๆ
ครอบครัวพรหมนุกูล อีกอีกครอบครัวหนึ่งที่ต้องโกลาหล เพราะโดนระเบิดกันหมดทั้งพ่อ แม่ และลูกชาย 2 คน
นางวรรณี เจือจันทร์ ย่าของ ด.ช.พรหมพิริยะ ที่บาดเจ็บสาหัส บอกว่า หลานดิ้นตลอดเวลาเพราะเจ็บแผลที่ผ่าตัดลำไส้ ตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว แต่หลานบอกว่าหลานยังไหว
“เมื่อวานหลานไปทำธุระกับครอบครัวที่หาดใหญ่ ไปกันหมดทั้งพ่อ แม่ และน้องชาย ขากลับเห็นว่าค่ำแล้วก็พากันแวะกินก๋วยเตี๋ยว ก่อนกลับบ้านที่ อ.ปะนาเระ (จ.ปัตตานี) ซึ่งปกติก็ไม่ได้แวะกินประจำ แต่ก็มาโดนระเบิดกันทั้ง 4 คนเลย เราก็เลยต้องวิ่งไปมาระหว่างห้องหลานที่ยังอาการสาหัส กับห้องพ่อ แม่ และน้อง”
พ่อของ ด.ช.พรหมพิริยะ คือ ส.ต.วัฒนชัย พรหมนุกูล แม่คือ น.ส.วัลยา ส่วนลูกคนเล็กชื่อ ด.ช.จิตรเทพ ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และพักรักษาตัวคนละห้องตามอาการ ทำให้ญาติต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างห้องเพื่อดูแล
“เหตุการณ์ความไม่สงบเคยเจอมากับตัวเองแล้ว ครั้งแรกคือเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงร้านน้ำชาที่บ้านโคกกระบือ (อ.ปะนาเระ) มีชาวบ้านเสียชีวิต 5 ราย เมื่อปี 2554 ครั้งนี้เจอกับคนในครอบครัวเองเลย” ย่าของเด็กชาย บอก
เหตุระเบิดที่มุ่งคร่าชีวิตผู้คนโดยไม่เลือกเพศ วัย และศาสนา ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดล้วนรับไม่ได้
อย่าง นางพาตีเมาะ เจะมามุ ชาวปัตตานี บอกว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้หยุดทำร้ายคนบริสุทธิ์ หยุดเสียที
ได้แต่หวังว่าเสียงเล็กๆ เหล่านี้จะดังก้องไปถึงผู้ก่อเหตุรุนแรงให้เลิกเอาชีวิตคนเป็นเครื่องต่อรอง!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 วลี เขียวเข้ม
2 แม่ทัพภาพที่ 4 เยี่ยมอาการเด็กชายที่ยังสาหัส
3 ระเบิดคาชามข้าว