คึกฤทธิ์พูด ฉบับรวมปาฐกถา เล่าเรื่องบุญญาภินิหาร รัชกาลที่ 9 ที่เห็นมากับตา
สำหรับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ผมไม่อยากพูด ท่านทั้งหลายคงทราบดีอยู่แล้วว่า ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจยิ่งกว่าใครทั้งหมดในแผ่นดินไทย เกือบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนไหนจะทำงานได้มากขนาดนี้ พูดเป็นสุภาษิตโบราณก็เหมือนว่า อาบพระเสโทต่างพระอุทกธารา คือ อาบเหงื่อต่างน้ำไม่มีอีกแล้ว
จากหนังสือ คึกฤทธิ์พูด ฉบับรวมปาฐกถา เนื่องในวันเกิดครบรอบปีที่ 78 ได้รวมรวบความคิดเห็นจากการสัมมนา ปาฐกถา อภิปรายพล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งได้รับเชิญไปแสดงตามสถาบันต่างๆ เป็นประจำในช่วงระหว่างปี 2531-2532 มาอยู่ในเล่มนี้
ปาฐกถาที่น่าสนใจ หนึ่งนั้นคือเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ตอนท้ายๆ อาจารย์คึกฤทธิ์ กล่าวถึงราชวงศ์จักรีที่ได้ทรงพัฒนาประเทศต่อเนื่องมาทุกรัชกาลไม่ได้ขาด จนบ้านเมืองเรามาถึงทุกวันนี้
“สำหรับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ผมไม่อยากพูด ท่านทั้งหลายคงทราบดีอยู่แล้วว่า ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจยิ่งกว่าใครทั้งหมดในแผ่นดินไทย เกือบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนไหนจะทำงานได้มากขนาดนี้ พูดเป็นสุภาษิตโบราณก็เหมือนว่า อาบพระเสโทต่างพระอุทกธารา คือ อาบเหงื่อต่างน้ำไม่มีอีกแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในใจของคนไทยทุกคน ถ้าจะว่าในทางบุญญาภินิหาร รัชกาลปัจจุบันนี่แหละที่คนได้เห็นบุญญาภินิหารของพระองค์มากที่สุด กระผมได้พบด้วยตัวเอง ผมเองจะว่าคนโบราณก็โบราณ แต่ความรู้วิชาสมัยใหม่ก็ยังมีอยู่ได้เห็นเองบ้าง ไม่เห็นบ้าง และได้รับคำบอกเล่าจากคนอื่นที่เชื่อถือได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหลวงสุรัตน์ณรงค์ ราชองครักษ์ เล่าให้ผมฟัง
เมื่อครั้งเสด็จประพาสทางชายพรมแดน ประทับเรือพระที่นั่งเสด็จทอดพระเนตรแม่น้ำโขงฝั่งไทย พอไปถึงตำบลหนึ่ง ผู้ว่าราชการนครพนมเวลานั้น ยืนอยู่ข้างพระองค์ คอยชี้แจง ก็กราบบังคมทูลว่า บ้านนี้เรียกว่าอย่างนั้น ตำบลนี้ชื่ออะไร ราษฎรมีเท่าไหร่ ทำมาหากินอะไร ไปถึงตำบลเรียกว่า วังจระเข้ ก็ทรงพระสรวล มีพระราชดำรัสถามว่า แล้วมีจระเข้ไหม
ผู้ว่าฯ ก็กราบบังคมทูล ไม่มี สมัยนี้มีเรือไฟ เรืออะไร จระเข้คงไม่มีอาศัยอยู่ได้ ก็ต้องหลบหนีไป
ก็มีพระราชดำรัสว่า เสียดายจริง ฉันยังไม่เคยเห็นจระเข้ที่มันอยู่ตามธรรมชาติ
พอมีพระราชดำรัสขาดพระโอษฐ์เท่านั้น จระเข้ขึ้น 2 ตัว ก็ทรงพระสรวล ชี้ให้ผู้ว่าฯ ดูว่า เห็นไหม
ผู้ว่าฯ คืนนั้นกลับมาจากจวนแล้วเมา บอกว่า จระเข้ามันทำกูเสีย ท่านก็เลยจับได้ว่า ไม่ได้ไปตรวจท้องที่”
นอกจากนี้ อาจารย์คึกฤทธิ์ ยังเล่าอีกว่า เคยเห็นยิ่งกว่านั้น ตอนเสด็จฯ เมืองเพชร
เขาปลูกปะรำ รับเสด็จใหญ่ศาลากลาง 2 ปะรำ ระหว่างที่อยู่กลางแจ้งกับที่ไปถึงราษฎรเฝ้าฯ เต็มปะรำ เพราะขณะนั้นฝนตกหนักที่สุด เมื่อเสด็จฯ เข้าทรงเยี่ยมราษฎรในปะรำ แรกฝนก็ยังตกหนักจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ผมตามเสด็จฯ พอถึงหมวดปะรำที่จะเสด็จฯ ออกไปอีกปะรำหนึ่ง ฝนก็ยังตกอยู่ คุณหลวงสุรัตนณรงค์ ราชองครักษ์ ถวายให้คนกลางกลด พระองค์ทรงยับยั้ง บอกคุณหลวงว่า ก็เขาเปียก เราก็เปียกได้ ว่าแล้วเสด็จพระราชดำเนินออกไป ฝนหยุดตก
นี่เอาไปสาบานที่ไหนก็ได้ ว่าเห็นกับตา แปลกจริงๆ ไม่มีฝน เสด็จพระราชดำเนินไปเข้าปะรำโน้น พอลับพระองค์ ฝนตกจั้กๆ อย่างเก่าอีกที พวกที่ตามเสด็จฯ ไม่ต้องพูดละ โชกไปด้วยกันหมด หนีไม่พ้น แม้องค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถยังเปียก เสด็จพระราชดำเนินคล้อยตาม
นี่ก็เห็นกันมาแล้ว และอื่นๆ อีกมากมายเหลือเกิน จะเล่าไปก็ไม่มีที่สิ้นสุด
ผมจึงอยากจะบอกว่า เรามีองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงมีบุญญาภินิหารอย่างยิ่งในคราวนี้ ก็เป็นเกียรติของคนไทยทั้งประเทศ เพราะเรามีเทพเจ้าปกครอง
และนอกจากนั้นแล้ว รัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นนักประชาธิปไตย เป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชน ทรงราชการมิได้ว่างเว้น ทำงานมากกว่าใครทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องที่คนไทยช่วยกันระลึกถึงเพื่อเป็นกำลังใจของพวกเรา….”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 พวกเราปวงชนชาวไทย ขอเทิดพระเกียรติและแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:“ในหลวงของคนหนังสือพิมพ์”