เอแบคโพลล์ เผยคนกรุงกว่าครึ่งเชื่อข่าวก่อการร้ายในกทม.
นางสาวปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นักวิจัยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง คนเมืองกรุงคิดอย่างไรต่อข่าวก่อการร้ายในเขตกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,174 ตัวอย่าง ซึ่งมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 18 – 20 มกราคม พ.ศ. 2555 พบว่า
นางสาวปุณฑรีก์กล่าวว่า ประชาชนคนกรุงเทพมหานครที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.3 สนใจติดตามข่าวการก่อการร้ายในเขตกรุงเทพมหานคร และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.2 คิดว่ารัฐบาลไทยยังไม่มีความพร้อมเพียงพอในการเตรียมรับมือภัยพิบัติการก่อการร้าย อย่างไรก็ตามร้อยละ 42.8 คิดว่ารัฐบาลไทยมีความพร้อม แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.1 คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปฏิบัติการก่อการร้ายในกรุงเทพมหานคร เพราะ เจ้าหน้าที่รัฐไม่เข้มงวด มีประสบการณ์ไม่เพียงพอ มีการใช้เงิน ใช้เส้น ใช้อิทธิพลกับเจ้าหน้าที่รัฐของไทยได้ง่าย การทำงานยังหละหลวม ไม่น่าเชื่อถือ และช่องทางหลบหนีเข้าและออกนอกประเทศมีมาก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 41.9 ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ที่จะเกิดการปฏิบัติการก่อการร้ายในกรุงเทพมหานคร
“เมื่อถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลของ สหรัฐอเมริกา กับข้อมูลของรัฐบาลไทย พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 55.9 เชื่อข้อมูลของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ร้อยละ 44.1 เชื่อข้อมูลของรัฐบาลไทย และสิ่งที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.2 เห็นว่า จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณพิเศษให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกปฏิบัติการป้องกันและสร้างความมั่นใจในหมู่ประชาชนและชาวต่างชาติ ในขณะที่ร้อยละ 36.8 คิดว่า ไม่จำเป็น”
นางสาวปุณฑรีก์ กล่าวต่อว่า เมื่อภัยพิบัติจากการก่อการร้ายยังไม่เกิด รัฐบาลก็มักจะยังไม่ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นยิ่งไปกว่านั้นกลับแสดงความไม่พอใจต่อการออกมาเตือนหรือให้ข้อมูลของสหรัฐอเมริกาเพราะเกรงผลกระทบทางธุรกิจหรือรายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกและเป็น “วิธี” ที่ไม่ชาญฉลาดของผู้ใหญ่ในสังคมไทย
“แนวทางที่น่าพิจารณาในการป้องกันปัญหาการก่อการร้ายด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ ได้แก่ การดักฟังโทรศัพท์ การเฝ้าระวังติดตามข้อมูลลับเครือข่ายกองกำลังต่างชาติ การควบคุมปัญหาการค้าอาวุธเถื่อนและสารเคมีตั้งต้นทำระเบิด การแกะรอยการใช้อินเตอร์เนตและระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้ต้องสงสัย การถอดบันทึกการทำธุรกรรมทางการเงินและธุรกิจ การแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนและด่านตรวจคนเข้าออกเมือง การยึดทรัพย์ การกักขัง และการเข้าทลายแหล่งซ่องสุมเครือข่ายการก่อการร้ายอย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวปุณฑรีก์ กล่าว และว่า รัฐบาลน่าจะมีการพิจารณาอาศัยการปฏิรูปกฎหมายพิเศษใน “การบูรณาการ” งบประมาณและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสามารถใช้กลไกพิเศษที่รวดเร็วฉับไวในอำนาจของนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการติดตามแก้ปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน เพราะจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติหลายนายพบว่าการขอหมายศาลอาจจะช้าเกินไป
