ชำแหละพฤติการณ์ 28 ‘บิ๊ก สกสค.’ ฉบับ ป.ป.ช.! พันปมปล่อยกู้ ช.พ.ค. 2.1 พันล.
“…ภายหลังจากที่มีการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วเพียง 2 วัน บริษัท บิลเลี่ยนฯ กลับยื่นคำขอส่งคืนต้นฉบับตั๋วสัญญาใช้เงิน และไถ่ถอนการจำนำสิทธิเงินฝากจากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ และนำเงินที่วางเป็นอาวัล โดยอ้างว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. แล้ว กลับคืนเข้าสู่บัญชีของบริษัท บิลเลี่ยนฯ และบัญชีส่วนตัวของ ‘เดอะบิ๊ก’ และบางส่วนได้มีการสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คให้กับบุคคลจำนวน 10 คน คนละ 1 ล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นระดับผู้บริหารของ สกสค. (นายเกษมได้รับเงินด้วย)…”
สาธารณชนอาจทราบกันไปแล้วว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ขยายผลการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานายเกษม กลั่นยิ่ง อดีตประธานที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับบรรดาอดีต ‘บิ๊ก สกสค.’ รวมจำนวนในปัจจุบันทั้งหมด 28 ราย
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลทั้ง 28 รายดังกล่าว อนุมัติเงินกองทุน ช.พ.ค. ให้กับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเท็ค กรุ๊ป จำกัด โดยนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ ‘เดอะบิ๊ก’ เป็นผู้กู้ยืมเงินจำนวน 2.1 พันล้านบาท ช่วง ธ.ค. 2556 ทั้งที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน และผู้กู้ยืมเงินมีฐานะทางการเงินไม่มั่นคง รวมทั้งไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในการชำระหนี้แต่อย่างใด
(อ่านประกอบ : ป.ป.ช.ขยายผล! สอบกราวรูด 28 ‘บิ๊ก สกสค.’พันปมปล่อยกู้เงิน ช.พ.ค. 2.1 พันล.)
เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงมากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำพฤติการณ์ของบรรดา ‘บิ๊ก สกสค.’ ทั้ง 28 รายดังกล่าว ที่ถูกไต่สวน มานำเสนอ สรุปได้ดังนี้
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่า นายเกษม กับพวกรวม 28 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องในการอนุมัติซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 500 ล้านบาท จากบริษัท บิลเลี่ยนฯ โดยมิชอบ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท บิลเลี่ยนฯ และรับเงินจากบริษัท บิลเลี่ยนฯ โดยทุจริต อันเป็นการรับทรัพย์สินที่นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันควรได้ตามกฏหมาย
พฤติการณ์ในการกระทำความผิด
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2556 คณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. (คณะกรรมการฯ ช.พ.ค.) จำนวน 16 ราย มีมติอนุมัติให้นำเงินของกองทุน ช.พ.ค. ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 500 ล้านบาท จากบริษัท บิลเลี่ยนฯ ซึ่งมีนายสิทธินันท์ หลอมทอง หรือ ‘เดอะบิ๊ก’ เป็นกรรมการบริษัท บิลเลี่ยนฯ (เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาด้วย) ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7 ต่อปี มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี 1 วัน โดยต้องมีธนาคารอาวัล (การค้ำประกันการใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) เต็มมูลค่าตั๋วสัญญาใช้เงิน พร้อมมีมติให้ดำเนินการโครงการร่วมทุนสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไม่เกินร้อยละ 4.5 ต่อปี ตามที่ ‘เดอะบิ๊ก’ และกรรมการบริษัท บิลเลี่ยนฯ เสนอ
แต่ภายหลังกลับปรากฏว่าไม่มีโครงการร่วมทุนสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษาแต่อย่างใด ทั้งเงินที่ใช้เป็นหลักประกันการเอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 500 ล้านบาท ของบริษัท บิลเลี่ยนฯ ที่อาวัลโดยธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กลับเป็นเงินของคณะกรรมการฯ ช.พ.ค. ได้มีมติอนุมัติเงินของกองทุน ช.พ.ค. ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัท บิลเลี่ยนฯ
และภายหลังจากที่มีการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วเพียง 2 วัน บริษัท บิลเลี่ยนฯ กลับยื่นคำขอส่งคืนต้นฉบับตั๋วสัญญาใช้เงิน และไถ่ถอนการจำนำสิทธิเงินฝากจากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ และนำเงินที่วางเป็นอาวัล โดยอ้างว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. แล้ว กลับคืนเข้าสู่บัญชีของบริษัท บิลเลี่ยนฯ และบัญชีส่วนตัวของ ‘เดอะบิ๊ก’ และบางส่วนได้มีการสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คให้กับบุคคลจำนวน 10 คน คนละ 1 ล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นระดับผู้บริหารของ สกสค. (นายเกษมได้รับเงินด้วย)
นอกจากนี้ในวันที่ 24 มิ.ย. 2556 ‘เดอะบิ๊ก’ ร่วมกับกรรมการบริษัท บิลเลี่ยนฯ ได้ถอนเงินสดจากบัญชีของบริษัท บิลเลี่ยนฯ ที่ฝากไว้กับธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนหลานหลวง จำนวน 209,305,936 บาท ไปซื้อแคเชียร์เช็คจำนวน 78 ฉบับ สั่งจ่ายให้กับบุคคลต่าง ๆ รวมทั้งกรรมการบริหารกองทุน ช.พ.ค. ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ทางราชการด้วย (ดูเอกสารประกอบ)
นี่คือพฤติการณ์ชัด ๆ ที่อยู่ในสำนวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ ป.ป.ช. ที่ปัจจุบันได้ขยายผลเพิ่มผู้ถูกกล่าวหาจากเดิม 5 ราย เป็น 28 ราย
นอกเหนือจากพฤติการณ์เหล่านี้แล้ว นายเกษม นายสุรเดช พรหมโชติ กรรมการบริหารกองทุน ช.พ.ค. และนายสำเริง รัชตเศรษฐ์ กรรมการ สกสค. ยังถูกไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติด้วย 2 ข้อกล่าวหาด้วยกัน ได้แก่
1.นายเกษม กลั่นยิ่ง ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ 2.1 มีรีสอร์ทซึ่งกำลังก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านท่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 2.2 มีบ้านตั้งอยู่ที่ ต.บ้านท่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 2.3 มีคอนโดตั้งอยู่ที่หลังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล- พลาซ่า ปิ่นเกล้า 2.4 มีรีสอร์ทชื่อบ้านอบอุ่น 2.5 มีเงินสดเก็บไว้ที่บ้านของผู้ถูกกล่าวหา ที่ ต.บ้านท่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี หลายร้อยล้านบาท
2.นายสุรเดช พรหมโชติ ร่ำรวยผิดปกติโดยมีทรัพย์สิน ดังนี้ 3.1 มีบ้าน 1 หลัง ราคาประมาณ 10 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ ต.บางวัว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา 3.2 มีหอพักชื่อพรหม ตั้งอยู่ที่ ต.บางวัว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา 3.3 มีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E250 CDI สีดำ จำนวน 1 คัน 3.4 มีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีขาว จำนวน 1 คัน 3.5 ซื้อบ้านให้ลูกชาย จำนวน 2 หลัง
3.นายสำเริง รัชตเศรษฐ์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สิน ดังนี้ 4.1 รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E200 CID สีบรอนด์ จำนวน 1 คัน 4.2 เป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร ตั้งอยู่ใกล้ โรงเรียนหนองบอน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 4.3 มีที่ดินเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ดังนั้นสิ่งต้องรอดูจากนี้ไปคือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาได้เมื่อไหร่ และจะสามารถอายัดเงิน และเรียกเงินดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของแผ่นดินได้หรือไม่ ?
อ่านประกอบ :
มีเงินสดหลายร้อยล.ที่บ้านชะอำ!ป.ป.ช.เปิดข้อกล่าวหา 'อดีตบิ๊กสกสค.'รวยผิดปกติ
ผ่าปมร้อนเงินกู้ช.พ.ค.2.1พันล."เดอะบิ๊ก"ยันถูกขู่ฆ่าเรียกสินบน ล้มบอร์ดสกสค.?
เบื้องหลังเกมไล่ล่า2 พันล.สกสค.คืน บีบแบงก์รับผิดชอบ อำพรางคดีช่วย ไอ้โม่ง?
ฐานธุรกิจหมื่นล."สัมฤทธิ์-พวก"ก่อนโดน ปปง.อายัดทรัพย์ พ่วง บิ๊ก สกสค.183 ล.
สุดบังเอิญ! หุ้นส่วน"เดอะบิ๊ก"ขนเงินพันล.เพิ่มทุนบ.อสังหา ที่แท้ลูกหนี้คลองจั่น 720 ล.
ปริศนาใหม่!"เดอะบิ๊ก"หอบเงิน 2.6พันล.ลงหุ้นบ.อสังหา หลังได้เงินสกสค. 2.1 พันล.
ตีเช็ค4ใบวันเดียว6.5พันล.!เส้นทางเงิน"เดอะบิ๊ก-พวก"ขนเพิ่มทุนบ.อสังหาปริศนา
ป.ป.ช.ตั้งอนุฯไต่สวนลุยสอบอดีตเลขาฯสกสค.ซื้อตั๋วเงินกว่า 2.5 พันล.มิชอบ
ล้างทุจริตสกสค.! ป.ป.ช.ลุยสอบปมลงทุนโรงไฟฟ้าฯ 2.1 พันล.ไม่คุ้มค่า
ศอตช.ตั้ง 2 ประเด็นสอบสกสค. อนุมัติ 2.1พันล.ให้เดอะบิ๊ก-สาวลึกเงิน "ขรก."