The Mirror ตีแผ่ไทย! เบื้องหลัง‘บิ๊กตู่’เอาจริงห้าม ตร.นำผู้ต้องหาแถลงข่าว
“…ยังคงไม่มีคำจำกัดความว่า กรณีไหนถึงจะเรียกได้ว่า ‘เป็นประโยชน์’ ต่อรูปคดี แต่สิ่งที่ยังคงเห็นได้ชัด และละเมิดสิทธิผู้ต้องหาอย่างชัดเจนคือ ไม่มีการปกปิดหน้าตา ปล่อยให้นักข่าว-ช่างภาพซักถามกันอย่างสนุกปาก หรือบางครั้งก็ปล่อยให้มีคู่กรณีเข้ามาทำร้ายผู้ต้องหาด้วย…”
อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักสิทธิมนุษยชนได้รับชัยชนะ !
ภายหลังเรียกร้องกันมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหามานั่งโต๊ะจัดแถลงข่าวใหญ่โต จนอาจเป็นการละเมิดสิทธิกับผู้ต้องหา เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า ผู้ต้องหานั้นหากศาลยังไม่มีคำพิพากษาตัดสินถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
แต่ล่าสุด ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีบัญชาสั่งการถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ‘ห้าม’ ไม่ให้นำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวอีก แต่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการแถลงผลแทน
(อ่านประกอบ : ‘บิ๊กตู่’เอาจริง! สั่ง สตช.ห้ามนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว ให้แถลงผลแทน)
กรณีนี้ ‘บิ๊กตู่’ เพิ่งมีบัญชาภายหลังได้รับรายงานสถานการณ์ละเมิดเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค. 2559 โดยมีการระบุถึงกรณีองค์กรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเรียกร้องเรื่องการนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวด้วย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบในรายงานของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพดังกล่าว พบว่า มีการจัดทำข้อเสนอแนะไปยังฝ่ายบริหาร ระบุถึงกรณีนี้ว่า การนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวเป็นประเด็นที่ สตช. มักได้รับการทักท้วงจากองค์กรทำหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยครั้ง
ต่อมา สตช. มีคำสั่งช่วงปี 2548 กำหนดแนวทางการให้ข่าว แถลงข่าว ห้ามนำหรือจัดให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือพยานมาแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทุกแขนง ยกเว้นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน จึงให้ขออนุญาตต่อผู้บัญชาการ และคำสั่ง สตช. เมื่อปี 2550 ที่ห้ามหรือจัดให้สื่อมวลชนทุกแขนงถ่ายภาพ สัมภาษณ์ หรือให้ข่าวของผู้ต้องหาในระหว่างการควบคุมของตำรวจทั้งภายในและภายนอกที่ทำการเว้นแต่เพื่อประโยชน์แห่งคดี
ฉะนั้น สตช. ควรให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนดำเนินการตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากจำเป็นก็ควรปกปิดหน้าผู้ต้องหา ซึ่งมีหลายคดีที่ดำเนินการดังกล่าว
ส่วนชนวนเหตุของกรณีนี้ รายงานของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ รายงานว่า สื่อต่างชาติ The Mirror เผยแพร่ข่าวกรณีที่ตำรวจไทยนำตัวคู่รักชาวต่างชาติในคลิปฉาว มีเพศสัมพันธ์แบบออรัลเซกซ์ในที่สาธารณะ ออกมาไหว้และขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สถานที่เกิดเหตุคือ เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ฝ่ายหญิงเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนในมหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนฝ่ายชายเป็นนักท่องเที่ยวชาวไอร์แลนด์ เมื่อชาวต่างชาติทั้งสอง ทราบว่าถูกแจ้งความดำเนินคดี จึงได้เดินทางเข้ามามอบตัว
The Mirror นำเรื่องราวนี้ไปนำเสนอ โดยมองว่าการที่ตำรวจไทยให้ชาวต่างชาติที่ปรากฏในคลิปออกมาไหว้ขอโทษ เป็นการทำให้ผู้กระทำผิดทั้งสองอับอาย การที่เจ้าหน้าที่กระทำเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้กระทำผิดหรือไม่
ซึ่งกรณีนี้แหละ คือต้นตอที่ทำให้ 'บิ๊กตู่' ต้องเอาจริงออกคำสั่งดังกล่าว
นี่คือข้อเสนอแนะของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ในช่วงสถานการณ์ ‘ละเมิด’ สิทธิมนุษยชน ถูกจับตาขึ้นมาอย่าง ‘ร้อนฉ่า’ ในช่วงปลายเดือน ก.ค. ไม่ว่าจะเป็นกรณีการจับกุมนักศึกษา-กลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหว ‘คว่ำ’ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือกรณีอื่น ๆ ซึ่งก็มีการรายงานไว้เช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากนี้ยังถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างประเทศ รวมถึงถูกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ มีข้อกังวลการสถานการณ์ละเมิดสิทธิเสรีภาพในประเทศไทยเป็นอย่างมากด้วย
ไม่ว่าอย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำสั่งของ สตช. ทั้งปี 2548 และปี 2550 จะเห็นได้ว่า มีการระบุ ‘ห้าม’ ไม่ให้ตำรวจนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวอยู่แล้ว ยกเว้นจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
แต่ก็อย่างที่ทราบและเห็นกันดีว่า ยังคงมีตำรวจนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชน มักมีบรรดา ‘บิ๊กสีกากี’ เข้ามาร่วมแถลงข่าวด้วยทุกครั้ง
แน่นอน ยังคงไม่มีคำจำกัดความว่า กรณีไหนถึงจะเรียกได้ว่า ‘เป็นประโยชน์’ ต่อรูปคดี แต่สิ่งที่ยังคงเห็นได้ชัด และละเมิดสิทธิผู้ต้องหาอย่างชัดเจนคือ ไม่มีการปกปิดหน้าตา ปล่อยให้นักข่าว-ช่างภาพซักถามกันอย่างสนุกปาก หรือบางครั้งก็ปล่อยให้มีคู่กรณีเข้ามาทำร้ายผู้ต้องหาด้วย
ซ้ำร้ายกว่านั้น บางคดีผู้ต้องหายังเป็นเด็ก หรือเยาวชนอยู่ แต่กลับนำตัวมาแถลงข่าว หรือนำไปทำแผนประกอบที่ปล่อยให้มีนักข่าว-ช่างภาพ ตามไปเก็บรายละเอียดด้วย ซึ่งผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
(อ่านประกอบ : ไขปม “นำเด็กแถลงข่าว” ใครผิด ? ในยุค “ตำรวจเอาหูไปนา-สื่อเอาตาไปไร่”)
ดังนั้น ต้องรอจับตาดูกันว่าคำสั่งของ ‘บิ๊กตู่’ ครั้งนี้ จะสัมฤทธิ์ผลจริง และสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับบรรดา ‘สีกากี’ ได้
หรือว่าจะเป็นเพียงแค่สายลมปล่อยให้พัดผ่านไปเหมือนคำสั่ง สตช. เกี่ยวกับกรณีนี้หลายครั้งอย่างที่ผ่านมา ?