พลิกข้อต่อสู้‘นักวิชาการดัง’ในศาล ปค.สูงสุด ซื้อที่ดินสุจริต สร้างบ้านพัก-ห้องสมุด 15 ล.
ตามไปดูข้อต่อสู้‘นักวิชาการดัง’ในศาล ปค.สูงสุด กรณีโฉนดบ้านหรู 18 ไร่ อ่าวทุ่งทราย อ.ปะทิว อ้างซื้อสุจริต หลังออกเอกสารสิทธิ์แล้ว ลงทุน 15 ล. สร้างบ้าน ห้องสมุด ค้นคว้าวิจัย แม้ ส.ค.1 ไม่ถูกต้อง แต่เจ้าของเดิมครอบครองแท้จริง
กรณีปัญหาโฉนดที่ดิน 18 ไร่ 2 งาน ของนักวิชาการชื่อดัง บนเชิงเขา อ่าวทุ่งทราย หมู่ 3 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร มูลค่านับร้อยล้านบาทนั้นมีข้อยุติแล้วว่า
1.กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2548 เนื่องจากใช้หลักฐาน ส.ค.1 แปลงอื่นมาเป็นหลักฐานยื่นออก น.ส.3 ก. และที่ดินอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินปี 2531
2.ศาลปกครองนครศรีธรรมราช มีคำพิพากษา เมื่อ 11 ส.ค.2552 ว่าคำสั่งเพิกถอนของกรมที่ดินกระทำโดยชอบ
3.ศาลปกครองสูงสุด มีคำตัดสิน เมื่อ 16 พ.ค.2555 พิพากษายืนกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ถ้านับจากกรมที่ดินสั่งเพิกถอน เป็นเวลากว่าสิบปี แต่ทว่าเจ้าของบ้านยังครอบครองที่ดินเรื่อยมาและยังไม่ได้รื้อถอนบ้าน กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหาร บก.ควบคุม มทบ.44 เข้าไปตรวจสอบและผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรมีคำสั่งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฎผลสรุป
ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมารายงานโดยสรุปไปแล้ว (อ่านประกอบ:เปิดคำพิพากษาศาล ปค.สูงสุด โฉนดบ้านหรูบนเขา 18 ไร่ ‘นักวิชาการดัง’ ใช้ ‘ส.ค.1 บิน’ )
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา เรียบเรียง คำฟ้องของนักวิชาการ เจ้าของที่ดิน (ซึ่งถูกกรมที่ดินสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์) ตามที่ปรากฎในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด มาเสนอ
@ซื้อที่ดิน น.ส.3 ก. จากชาวบ้านโดยสุจริต
นายพิริยะ ไกรฤกษ์ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ตามที่ กรมที่ดินมีคำสั่งที่ 2100/2548 ลงวันที่ 26 ก.ค.2548 ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว และแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบตามหนังสือที่ มท.0516.2/22647 ลงวันที่ 26 ก.ค.2548 ว่าโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ที่ใช้เป็นหลักฐานในการออกโฉนดที่ดินออกโดยอาศัยหลักฐาน แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 13 เลขที่ 125 และเลขที่ 124 หมู่ที่ 3 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ตามลำดับ ซึ่งเป็นหลักฐานของที่ดินแปลงอื่นและอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอท่าแซะและอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ในเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2531 ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 11 ส.ค.2548 อุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาอุทธรณ์แล้วเห็นว่า คำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 16128 ของผู้ฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473 มาจากนางชุบ แดงเดช และ นายสม อยู่ขวัญ โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และเข้าครอบครองที่ดินด้วยความสงบ เปิดเผย ซึ่งเป็นการได้สิทธิในที่ดินที่ได้จดทะเบียนแล้ว แม้เอกสารที่เกี่ยวข้องจะเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ก็ไม่กระทบถึงการครอบครองที่ดินที่มีอยู่แต่เดิม และไม่ปรากฎว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่สาธารณะหรือที่หลวงแต่อย่างใด
@สร้างบ้านพัก ห้องสมุด 15 ล. ได้รับความเสียหาย
ผู้ฟ้องคดีเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นที่ดินที่ชอบด้วยกฎหมายจึงได้ลงทุนสร้างบ้านพักและห้องสมุดค้นคว้าวิจัยทางวิชาการ ด้านโบราณคดีไปแล้วไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย อีกทั้งการโฉนดนที่ดินเลขที่ 16128 ได้กระทำโดยถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมาย มีการรับรองจากเจ้าหนาที่ของรัฐ หลายหน่วยงาน
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างว่า มีการนำแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)ของที่ดินแปลงอื่นมาใช้เป็นหลักฐานในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) นั้น เห็นว่า การออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณที่พิพาทและที่ใกล้เคียงเป็นการออกภายหลังจากเกิดวาตภัยพายุใต้ฝุ่นเกย์ พัดผ่านเมื่อปี 2532 สภาพพื้นที่จึงเปลี่ยนแปลงจนเจ้าของที่ดินไม่อาจหาอาณาเขตที่ดินที่แท้จริงได้ แต่สิ่งที่ยืนยันความเป็นเจ้าของที่ดินคือการครอบครองที่แท้จริง
และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีฟังว่าแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นของที่ดินแปลงอื่น โดยเทียบเคียงระหว่างรูปถ่ายทางอากาศที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีอยู่นั้นเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าจะเป็นแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามหลักวิชาการแล้วไม่สามารถจัดรูปที่ดินได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีนำเหตุผลที่คณะกรรมการตรวจสอบสรุปจากการปูรูปแล้ววินิจฉัยว่า มีการนำแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ของที่ดินแปลงอื่นมาใช้เป็นหลักฐานออหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) นั้น จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปตามหลักวิชาการที่ดิน เพราะต้องยึดถือการครอบครองที่ดินเป็นหลักทั้งสิ้น เจ้าของที่ดินเดิมครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนที่จะประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อมีการส่งมอบการครอบครองที่ดินโดยชอบให้แก่ผู้ฟ้องคดีและได้เข้าครอบครองที่ดินแล้ว ที่ดินพิพาทจึงไม่สามารถนำไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ จึงไม่อาจกระทบต่อสิทธิครอบครองที่มีอยู่ก่อน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2100/2548 ลงวันที่ 26 ก.ค.2548 ดังกล่าว
@ กรมที่ดินตั้งปลัด อบต.เป็น กก.สอบฯไม่ชอบ
ผู้ฟ้องคดีระบุว่าอีกว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กำหนดให้แต่งตั้งตัวแทนคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นที่ดินพิพาทตั้งอยู่เป็นกรรมการ แต่ปรากฎว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการสอบสวนที่เป็นตัวแทนผู้บริหารท้องถิ่นคือนายอรรถพร ตันหนึ่ง ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลปากครอง ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นข้าราชการประจำส่วนท้องถิ่น มิใช่ผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่น การแต่งตั้งกรรมการสอบสวนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนไม่อาจรับฟังได้ ดังจะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงและมติของคณะกรรมการสอบสวนมิได้เป็นไปตามข้อเท็จจริงของท้องถิ่น เพราะคนในท้องถิ่นจะรู้เรื่องดีกว่า คณะกรรมการสอบสวนได้แต่คาดคะเนและหาเหตุผลจากรูปแผนที่ต่างๆซึ่งขัดแจ้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฎจากพยานบุคคลที่ต่างยืนยันว่าตำแหน่งของที่ดินถูกต้องตามที่ผู้ฟ้องคดีได้ครอบครองทำประโยชน์
นอกจากนี้ ในการออกเอกสารสิทธิที่ดินดังกล่าว นายสุชาติ ยาดำ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.ปากคลอง ท้องที่ที่เกิดพิพาทก็ได้ให้ถ้อยคำรับรองตามหนังสือลงวันที่ 4 มี.ค.2545 ว่า การรังวัดที่ดินเป็นไปอย่างถูกต้อง ตำแหน่งที่ดินถูกต้องไม่ผิดแปลง และหน้าหน้าสถานีพัฒนาที่ดินชุมพรตรวจสอบแล้วปรากฎว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตป่าไม้ถาวร ป่าเลนอ่าวปะทิว แปลง 4 การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินพิพาทจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย การชั่งน้ำหนักพยานจึงควรเชื่อพยานบุคคลในท้องที่ซึ่งเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงในท้องถิ่นมากกว่าที่จะรับฟังการคาดคะเนของคณะกรรมการสอบสวน ในชั้นอุทธรณ์
@อ้างซื้อ ส.ค.1 ก่อน แล้วยื่นออก น.ส.3 ก.
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องซื้อที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 125 หมู่ที่ 3 ต.ปากคลอง หมู่ที่ 3 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร มาจากนางชุบ แสงเดช และนายสม อยู่ขวัญ โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และต่อมานายอำเภอปะทิว ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 1472 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร จึงเป็นการยืนยันว่า น.ส.3 ก.ดังกล่าวออกโดยชอบด้วยกฎหมาย
ส่วน น.ส.3 ก. เลขที่ 1473 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ผู้ขอออกคือ นางชุบ แสงเดช ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในท้องที่หมู่ที่ 3 ต.ปากคลอง และเป็นผู้ครอบครองที่ดินบริเวณนั้นมาตั้งแต่ต้นย่อมรู้ถึงการครอบครองที่ดินของตนเองเป็นอย่างดี และนายสุชาติ ยาดำ ซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่เกิดย่อมรู้เห็น การครอบครองที่ดินของคนในหมู่บ้าน จึงเป็นพยานบุคคลที่สนับสนุนถึงการครอบครองที่ดินพิพาทได้ยิ่งกว่าการปูรูปที่ดินแล้วเปรียบเทียบว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) มุ่งถึงหลักการครอบครอง ไม่มีแผนที่หรือหลักหมุดโยงยึดที่จะทำให้รู้อาณาเขตที่ตั้งของที่ดินได้ และไม่มีหลักประกันใดที่จะแสดงว่าแบบแจ้งการครอบครองที่ดินที่นำมาเปรียบเทียบซึ่งได้ออกเป็นโฉนดที่ดินแล้วจะถูกต้องตามตำแหน่งกับพื้นที่จริง ผู้ฟ้องคดีได้สิทธิการครอบครองที่ดินจากเจ้าของที่ดินคนเดิมซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่แท้จจริง แม้เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องจะเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ก็ตาม ย่อมไม่กระทบสิทธิการครอบครองที่ดินที่มีอยู่เดิม การที่ผู้ฟ้องคดีขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทและทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินให้ ย่อมเป็นการรับรองถึงความถูกต้อง และแม้ที่ดินในอำเภอปะทิวจะถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินก็ไม่กระทบถึงการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพราะที่ดินบริเวณดังกล่าวมิได้เป็นที่สาธารณะ หรือที่ดินหวงห้ามของทางราชการ อีกทั้งสำนักงานการปฏิรูปที่ดินมิได้รับมอบพื้นที่หรือเข้าไปจัดรูปที่ดินในบริเวณดังกล่าว จึงไม่อาจอ้างเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองที่ดินแต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่อาจมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้
@ อยู่ในเขตปฏิรูปฯปี 31 แต่ปี 52 มีพรฎ. เพิกถอนไปแล้ว
ผู้ฟ้องคดีชี้แจงอีกว่า ได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลสองพี่น้อง ตำบลสมุย ตำบลหงษ์เจริญ ตำบลรับร่อ ตำบลคุริง ตำบลท่าข้าม ตำบลทรัพย์อนันต์ ตำบลหินแก้ว อำเภอท่าแซะ และตำบลเขาไชยราช ตำบลดอนยาง ตำบลปากคลอง ตำบลชุมโค ตำบลทะเลทรัพย์ ตำบลบางสน ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2552 ซึ่งในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดให้ยกเลิกพระรากฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอท่าแซะและอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2531 ทำให้ที่ดินในตำบลปากคลองอยู่นอกเขต ปฏิรูปที่ดิน จึงมีผลให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีไม่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และเมื่อที่ดินของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นที่หวงห้ามของทางราชการ หรือที่สาธารณะประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีจึงครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นกรณีที่กฎหมายออกมาภายหลังเป็นคุณต่อผู้ฟ้องคดี จึงไม่ควรเพิกถอนโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี
อ่านประกอบ:
ผู้ว่าฯ ชุมพรรับตั้ง กก.สอบบ้านหรูบนเขา ‘นักวิชาการสกุลดัง’ ไม่ชัวร์อยู่ในที่หลวง
จนท.ที่ดินแจงไม่มีผล ปย.!ปมบ้านหรูบนเขา‘นักวิชาการ’ตระกูลดัง ยังไม่ถูกรื้อถอน
เปิดคำพิพากษาศาล ปค.สูงสุด โฉนดบ้านหรูบนเขา 18 ไร่ ‘นักวิชาการดัง’ ใช้ ‘ส.ค.1 บิน’