เปิดคำพิพากษาศาล ปค.สูงสุด โฉนดบ้านหรูบนเขา 18 ไร่‘นักวิชาการดัง’ใช้‘ส.ค.1 บิน’
ชัดๆ!เปิดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน'เพิกถอน' โฉนดบนเขา 18 ไร่ 2 งาน อ่าวทุ่งทราย อ.ปะทิว จ.ชุมพร ของ‘นักวิชาการสกุลดัง’ ทำโดยชอบ หลักฐานมัดแน่น ใช้ ‘ส.ค.1 บิน’ หลังเจ้าตัวฟ้องถอนคำสั่ง อ้างซื้อมาโดยสุจริต ไม่ย้ายออกจากพื้นที่
กรณีปัญหาบ้านพักตากอากาศของนักวิชาการชื่อดังบนเชิงเขา อ่าวทุ่งทราย หมู่ 3 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร มูลค่านับร้อยล้านบาทของนักวิชาการชื่อดังซึ่งถูกกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ตั้งแต่ 2548 หรือเป็นเวลากว่าสิบปี แต่ทว่าเจ้าของบ้านยังครอบครองที่ดินเรื่อยมาและยังไม่ได้รื้อถอนบ้าน กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารบก.ควบคุม มทบ.44 เข้าไปตรวจสอบและผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรมีคำสั่งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฎผลสรุปนั้น
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปข้อมูลเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้ดังนี้
เจ้าของที่ดินคือนายพิริยะ ไกรฤกษ์ นักวิชาการ มีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดเลขที่ 16128 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร เนื้อที่ 18-2-50 ไร่ ออกมาจาก น.ส.3 ก. 2 แปลง เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473
น.ส.3 ก. แปลงแรก เลขที่ 1472 ออกมาจาก ส.ค.1 จำนวน 2 ใบ เลขที่ 13 และ เลขที่ 125
น.ส.3 ก. แปลงที่สองเลขที่ 1473 ออกมาจาก ส.ค.1 เลขที่ 124
กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนโฉนด เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2548 ต่อมาวันที่ 23 ม.ค. 2549 นายพิริยะ ไกรฤกษ์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคดีหมายเลขดำที่ 22/2549 โดยมีอธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้ถูกฟ้อง เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 16128
วันที่ 11 ส.ค.2552 ศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราชตัดสินยกฟ้อง เห็นว่าคำสั่งเพิกถอนโฉนด ของกรมที่ดินเลขที่ดังกล่าวกระทำโดยชอบ เนื่องจาก คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกรมที่ดินสรุปสอบชัดเจนว่า กระบวนการให้ได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์ ผู้ขอออกเอกสารสิทธิ์ใช้หลักฐาน ส.ค.1 ของที่ดินแปลงอื่นมาขอออกเอกสารสิทธิ์ (ส.ค.1บิน) แม้อ้างว่าซื้อมาโดยสุจริตหลังจากทางการได้ออกเอกสารสิทธิ์แล้วก็ตาม (คดีหมายเลขแดงที่ 110/2552)
ต่อมา 30 ก.ย. 2552 นายพิริยะ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปครองสูงสุด กระทั่งวันที่ 16 พ.ค.2555 ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนตามศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราช (คดีหมายเลขแแดงที่ อ.176/2555)
สำนักข่าวอิศราสืบค้นคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด และ เรียบเรียงคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมาเสนอ
ปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องที่ 2110/2548 ลงวันที่ 26 ก.ค.2548 เรื่องการเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 16128 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าโฉนดที่ดินเลขที่ เลขที่ 16128 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ถูกฟ้อง (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้มีคำสั่งที่ 1670/2557 ลงวันที่ 22 มิ.ย.2547 เรื่อง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการสอบสวนว่าได้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยคลาดเคลื่อนหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งในการสอบสวนคณะกรรมการสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐาน พร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้มีส่วนได้เสียทราบ เพื่อให้โอกาสคัดค้านการเพิกถอน ซึ่งผู้ฟ้องคดี (นายพิริยะ) ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 สิงหาคม 2547 คัคค้านการเพิกถอน โดยอ้างว่าซื้อที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆแล้วเห็นว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกโดยอาศัยหลักฐาน แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ของที่ดินแปลงอื่น จึงมีผลทำให้โฉนดที่ดิน เลขที่ 16128 ซึ่งออกโดยอาศัยหลักฐาน น.ส.3 ก.ทั้งสองแปลง ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย และได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบซึ่งรองอธิบดีกรมที่ดินผู้ได้รับหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน จึงได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 2110/2548 ลงวันที่ 26 ก.ค.2548 เพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 16128 พร้อมทั้งหลักฐานเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2543 ประกอบกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวีธีการในการตั้งคณะกรรมการสอบสวน การแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้โอกาสคัดค้านฯ แล้ว ดังนั้น คำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินลงวันที่ 26 ก.ค.2548 เรื่องการเพิกถอนโฉนดเลขที่ เลขที่ 16128 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ‘จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว’
กรณีที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องได้สิทธิการครอบครองที่ดินจากเจ้าของที่ดินคนเดิมซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่แท้จริง แม้เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องจะเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ก็ตาม ย่อมไม่กระทบสิทธิการครอบครองที่ดินที่มีอยู่เดิม การที่ผู้ฟ้องคดี ขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาทและทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินให้ ย่อมเป็นการรับรองถึงความถูกต้อง และแม้ที่ดินในอำเภอปะทิวจะถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินก็ไม่กระทบถึงการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพราะที่ดินบริเวณดังกล่าวมิได้เป็นที่สาธารณะหรือที่ดินหวงห้ามของทางราชการนั้น
เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฎว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473 เป็นการออกเฉพาะราย ตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีและนางชุบ แสงเดช ได้ยื่นคำขอโดยอาศัย หลักฐาน แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 13 เลขที่ 125 และเลขที่ 124 ตามลำดับ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ส.ค.1 ที่ผู้ฟ้องคดีและนางชุบ มิใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบรองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะมีสิทธิขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้ ส่วนการเปลี่ยนแปลงเขตปฏิรูปที่ดินจะมีผลทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีอาจออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในที่พิพาทให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ ก็ต้องเป็นตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติไว้ และไม่มีผลทำให้โฉนดที่ดินเลขที่ 16128 เป็นโฉนดที่ดินโดยชอบแต่อย่างใด
ประกอบกับ ผู้ฟ้องคดีมิได้แสดงพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 13 เลขที่ 125 และเลขที่ 124 เป็นหลักฐานของที่พิพาทที่สามารถนำมาออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1472 และเลขที่ 1473 ตามลำดับ ได้แต่อย่างใด
คำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องนั้นศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล
คดีหมายเลขดำที่ อ. 881/2552 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 176/2555 | ||
ศาลปกครอง : | ศาลปกครองสูงสุด | |
แผนกคดี : | งานคดีปกครอง | |
วันที่รับคำฟ้อง : | 30 กันยายน 2552 | |
ผู้ฟ้องคดี : | นายพิริยะ ไกรฤกษ์ | |
ผู้ถูกฟ้องคดี : | อธิบดีกรมที่ดิน | |
เรื่องตามกรณีข้อพิพาท : | คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย |
http://www.admincourt.go.th/admincourt/site/search.html?page=03suitdetail&ids=1-1-13771
อ่านประกอบ:
จนท.ที่ดินแจงไม่มีผล ปย.!ปมบ้านหรูบนเขา‘นักวิชาการ’ตระกูลดัง ยังไม่ถูกรื้อถอน