8ปีไฟใต้กับเด็กที่ถูกหลงลืม
ในขณะที่เด็กส่วนใหญ่กำลังสนุกสนานกับกิจกรรมมากมายที่ถูกจัดขึ้นโดยภาครัฐ-เอกชนเนื่องในวาระวันเด็กแห่งชาติปีนี้ ศูนย์ข่าวเพื่อชุมชนพาไปสัมผัสเด็กที่ถูกหลงลืมไปกับ8ปีไฟใต้สถานการณ์ที่ยังน่าเป็นห่วง
กว่า 8 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คร่าชีวิตผู้คนไปไม่น้อยกว่า 5,000 คน ผู้บริสุทธิ์หาเช้ากินค่ำได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า รวมทั้งเด็กที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างน่าตกใจเพราะจากข้อมูลองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยระบุว่ามีเด็กไม่น้อยกว่า 4,000 คนต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องเผชิญกับภาวะกดดันทางจิตใจ ผลการเรียนตกต่ำ กลายเป็นเด็กซึมเศร้า หวาดกลัวและที่สำคัญมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกรัฐมองด้วยสายตาคลางแคลงและถูกกีดกันออกจากกระบวนการช่วยเหลือเยียวยาอย่างน่าหดหู่ใจ
เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2555 “ศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศรา”ได้สำรวจตรวจสอบสถานการณ์เด็กในดินแดนด้ามขวานของไทยจากบุคคลที่ทำงานกับเด็กมายาวนาน อดีต ปัจจุบันและในอนาคตพวกเขาอยู่กันอย่างไร อะไรคือปัญหา บทบาทชุมชนต่อการเยียวยาบาดแผลทางจิตใจเป็นอย่างไร
ทัศนคติเชิงลบจากรัฐซ้ำเติมบาดแผลความรุนแรง
นายอิสมาแอ ซาและ ประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กล่าวว่าภาพรวมสถานการณ์เด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเหตุความไม่สงบ 8 ปีที่ผ่านมามีเด็กหลายพันคนได้รับผลกระทบ และหลายคนมีฐานะยากจนและขาดการดูแลจากภาครัฐ การศึกษาของเด็กมีปัญหา ตัวบทกฎหมาย กฎระเบียบล้าหลังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง ภาครัฐไม่แยกแยะระหว่างปัญหาการปราบปรามกับเด็ก หลายครั้งเจ้าหน้าที่เข้ามาสอบปากคำผู้ปกครองที่เขาสงสัยแล้วลามไปถึงเด็ก บางครั้งเด็กยังอยู่ในท้องแม่ เมื่อพ่อเสียชีวิต พอเด็กออกมาลืมตาดูโลก รัฐก็ไม่ช่วยเหลือเพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของคนที่รัฐชี้นิ้วว่าเป็นคนร้าย
“สิ่งเหล่านี้ไม่อยากให้เกิดขึ้น กฎระเบียบต้องแก้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น เมื่อครอบครัวหนึ่งเดือดร้อนไปขอรับการเยียวยา แต่ถ้ากรรมการ 3 ฝ่ายที่ประกอบด้วย ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ไม่รับรองเขาก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ มันก็เลยทำให้ครอบครัวเหล่านี้ได้รับผลกระทบซ้ำเติม สามีถูกยิงหรือได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ลูกก็ไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ แบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รัฐต้องแยกแยะให้ชัดเจนและปรับเปลี่ยนทัศนคติด้วย”
รัฐเหมารวมผู้ก่อการร้ายบาดแผลในใจเด็กยากเยียวยา
ประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กล่าวอีกว่า รูปแบบกฎหมาย ระเบียบต้องแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่และให้คุ้มครองตัวเด็ก บางครั้งเด็กไม่เกี่ยวข้องแต่รัฐเหมารวมทำให้เด็กไม่ได้รับการดูแล ทั้งทุนการศึกษา 8 ปีที่ผ่านมากรณีแบบนี้มีเยอะมาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ในโซนสีแดง การที่รัฐมองครอบครัวเด็กเป็นครอบครัวโจร เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นสิ่งที่ไม่ดีและอันตรายมากในอนาคต เพราะเด็กโตขึ้นทุกวันมีความจดจำต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบาดแผลในใจยากจะลบเลือน
“ผมเป็นห่วงเด็กที่กำลังเติบโตจากเหตุการณ์ความรุนแรง พวกเราคนทำงานมองว่าภาครัฐไม่ยอมที่เปิดเผยตัวเลขที่แท้จริง ทุกเรื่องที่รัฐนำเสนอเป็นเรื่องที่ดีไปหมด เช่น เด็กที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์ความรุนแรงดีขึ้นนะ ครอบครัวก็ดีขึ้น ปัญหาสุขภาพจิตดีขึ้น ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กๆก็ดีขึ้น แต่ผมมองว่ามันยังแย่ ผมอยู่ในพื้นที่อยู่กับชาวบ้าน ความรู้สึกของเด็กๆมันไม่ใช่จะดีขึ้นเหมือนที่รัฐประโคมข่าวทุกวันนี้พวกเขาว้าวุ่นอึดอัดใจ ไม่สบายใจ ผู้ปกครองจะรู้สึกกังวลไหนลูกจะไปเรียน ไหนจะค่านมลูก เด็กๆก็หวาดผวากับเหตุการณ์ที่ไม่มีทีท่าจะยุติลงเมื่อไหร่”
นักสุขภาพจิตชี้แก้ปัญหาเด็ก 3 จังหวัดกลไกทำงานไม่เป็นจริง
แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 15 (จังหวัดชายแดนภาคใต้)มองพัฒนาการเด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีปัญหาเรื่องไอคิวต่ำกว่ามาตรฐานอันมีสาเหตุมาจากปัญหาความไม่สงบ เพราะโอกาสเด็กที่จะเข้าเรียนมีน้อยเดี๋ยวโรงเรียนก็ปิด ฉะนั้นมาตรฐานเด็กภาคใต้จากเหตุการณ์ความไม่สงบมันมีผลมาก เด็กนักเรียนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสจะต่ำสุด รองลงมาคือปัตตานี และจังหวัดยะลาตามลำดับ ซึ่งปัญหาเรื่องเด็กเป็นปัญหาใหญ่ เด็กที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีแค่เด็กกำพร้าจากเหตุการณ์ความรุนแรง แต่เด็กที่ได้รับผลกระทบจะรวมเด็กหลายๆกลุ่ม เช่น เด็กที่เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตา ตัวเองอาจไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สิ่งที่เขาเห็นมันทำให้เขามีบาดแผลทางจิตใจและมีอาการทางสุขภาพจิตได้ เด็กที่เห็นพ่อหรือแม่หรือคนที่รู้จักถูกยิงต่อหน้าต่อตาเสียชีวิตต่อหน้าต่อตามีเยอะมาก ตรงนี้คนจะคิดว่าเด็กไม่เป็นอะไรเดี๋ยวก็ลืมซึ่งมันไม่ใช่
“สองปีที่ผ่านมาทางศูนย์ฯพยายามร่างยุทธศาสตร์การจัดระบบการดูแลเด็กได้รับผลกระทบกับความรุนแรง เสนอกระทรวงหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ พม.และศอ.บต.แต่ปรากฎว่ามันอยู่ในแค่กระดาษ เช่นเดียวกับพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กแห่งชาติที่มีกฎหมายอยู่แล้วเขาให้บทบาทคณะกรรมการคุ้มครองเด็กระดับจังหวัด ซึ่งใน3จังหวัดมีกองทุนอะไรต่างๆแต่ที่ผ่านมากลไกการขับเคลื่อนไม่ขยับเราพยายามเชื่อมประสานงานกัน แต่ก็ไม่ได้ผลที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก”
บทบาทชุมชนกับศักยภาพเยียวยาเด็กประสบเหตุรุนแรง
ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 15 กล่าวและบอกอีกด้วยว่า จากการทำงานกับเด็กที่อยู่ในพื้นที่ความไม่สงบ อาการของเด็กจะมีทั้งซึมเศร้า เครียด หวาดกลัว มีปัญหาการเรียนและมีปัญหาพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในด้านลบอย่างเห็นได้ชัด บางคนชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์กราดยิงรถโรงเรียน เด็กหลายคนได้รับบาดเจ็บ มีคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส เด็กคนนี้เมื่อก่อนเรียนดี แต่ภายหลังเกิดเหตุการณ์ปรากฏว่ากลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่อยากคุยกับใคร แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่ออย่างเห็นได้ชัด ซึ่งครูต้องทำการคัดกรองว่า เด็กเครียด ซึมเศร้าหรือมีปัญหาการเรียนต้องเร่งหาทางแก้ไขเยียวยา ซึ่งในเบื้องต้นชุมชนก็มีบทบาทค่อนข้างสูงในการช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็ก
ที่ผ่านมามีทางศูนย์กำหนดยุทธศาสตร์ตั้งเป้าหมาย เรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายชุมชนเพื่อลดผลกระทบความรุนแรงต่อเด็ก เริ่มต้นใน 6 ชุมชนของ 3 จังหวัดชายแดนโดยมีโรงเรียน ผู้นำศาสนา และผู้นำชุมชนเข้ามาร่วม ซึ่งชุมชนที่เข้ามาทำงานร่วมกันก็ให้ความสำคัญเพราะเขาถือว่าลูกหลานของเขา
“จากการที่ทำงานร่วมกับชุมชน ได้ผลที่น่าพอใจ ยกตัวอย่าง ชุมชนมุสลิม ช่วงปิดเทอมเขาจะทำค่าย ปรากฏว่าเด็กเข้าไปทำค่ายพอออกมาเห็นความแตกต่างในเรื่องความรับผิดชอบที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ แม้หลายคนอาจจะยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่เคยประสบ แต่การทำงานแบบนี้ จะค่อยๆดึงเขาเข้ามาอยู่ในโลกที่สวยงามตามวัย ต้องทำลึกๆให้เด็กค่อยๆซึมซับตรงนี้บทบาทชุมชนจะมีความสำคัญมาก”
เสียงจากเหยื่อไฟใต้แม่ของ“เด็ก”ที่รัฐปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ
ทางด้าน นางซากีเราะ แลฮา อยู่บ้านเลขที่ 55/3 ม.1ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ผู้ประสบปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดยะลา สะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้ฟัง สามีถูกเจ้าหน้าที่ล้อมยิงเสียชีวิตตอนที่ลูกชายมีอายุ 86 วัน เจ้าหน้าที่เข้าล้อมบ้านเวลาประมาณ 02.00 น.สามีไม่ได้เฉลียวใจ รุ่งเช้าสามีเข้าสวนเพื่อจะไปปลูกผัก ต่อมาเวลาประมาณ 06.30 น. เสียงปืนดังขึ้นสามนัดจึงรู้ว่าสามีถูกยิงเสียชีวิต ปัจจุบันลูกชายอายุ 2 ปี 4 เดือน พยายามเข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการหลายแห่ง รวมทั้งร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมศาลากลางจังหวัดยะลา แต่เรื่องก็เงียบหาย กรรมการ 3 ฝ่ายไม่รับรองให้เหตุผลว่าสามีเธอถูกวิสามัญฯ จึงไม่ได้รับการเยียวยาช่วยเหลือ จากการช่วยเหลือของมูลนิธิเพื่อการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เธอมีอาชีพขายของในโรงเรียนมีรายได้วันละ 100 บาท เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว
“ลูกโตขึ้นเขาถามถึงพ่อเราไม่อยากเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกลัวกระทบจิตใจเขา แต่ทุกครั้งที่เขาถามเราก็อดไม่ได้ที่ต้องก็น้ำตาไหล คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่น่าจะเกิดกับครอบครัวของเรา ลูกชายมีสภาพจิตใจย่ำแย่ เขาไม่ค่อยร่าเริง เหมือนขาดความอบอุ่น เขาเป็นคนติดแม่ พอห่างตัวเขาจะเรียกหาแม่ตลอด เห็นเด็กคนอื่นไปกับพ่อเขาก็จะถามหาพ่อ ในฐานะแม่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษาของลูก เยียวยาสภาพจิตใจลูกชายในปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ แค่นี้ก็พอใจแล้ว”
ไฟใต้ที่ลุกโชนตลอด8ปีที่ผ่านมา บาดแผลทางร่างกายรักษาอาจรักษาให้หายได้ แต่ริ้วรอยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในจิตใจยังไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้ว่าจะถูกเยียวยาให้กลับคืนมาสู่ปกติได้เมื่อใด วันนี้ได้แต่ภาวนาขอรอยยิ้มที่บริสุทธิ์กลับมางดงามบนใบหน้าอันไร้เดียงสาของเด็กๆบนด้ามขวานไทยอีกครั้ง