ขมวดปมซับซ้อน! คดีเรียกรับเงินวัด-ไฉน รอง ผอ.สำนักพุทธฯรอด ม.44?
“…อาจเป็นไปได้ว่า ในช่วงที่ ศอตช. เรียกไปไต่สวนเบื้องต้น นางประนอมอาจ 'กลับคำให้การ' จากในชั้นอัยการ บอกเล่าพฤติการณ์ทั้งหมดของนายเสถียร หรือว่า ศตอช. อาจสอบแล้วแต่พยานหลักฐานยังไปไม่ถึง จึงส่งชื่อแค่นายเสถียรก่อน ส่วนนางประนอม ศตอช. ขอตรวจสอบรายละเอียดให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้...”
สาธารณชนอาจทราบกันไปแล้วว่า นายวีรเทพ หรือเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.สงขลา ถูกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 พักงานไว้ชั่วคราว เนื่องจากถูกตรวจสอบพบว่า มีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากวัดชลธาราวาส จ.นราธิวาส เป็นจำนวนเงิน 3.2 ล้านบาท และเพิ่งถูกบุกจับกุมตัวเมื่อช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีไม่ใช่แค่นายเสถียรเท่านั้น แต่ในชั้นการสอบสวนของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ยังปรากฏชื่อของนางประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมอยู่ด้วย
โดยถูกระบุข้อกล่าวหาว่า ร่วมกับนายเสถียรใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรเงินอุดหนุนโดยมิชอบ ให้วัดชลธาราวาส วัดยูป่าราม และวัดสุริยาราม วัดละ 4 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท แล้วให้ทั้ง 3 วัดถอนเงินสดบางส่วน (สำหรับวัดชลธาราวาสถูกนายเสถียรเรียกเก็บเงิน 3.2 ล้านบาท) มามอบให้นายเสถียร โดยอ้างว่า จะนำเงินไปให้สำนักสงฆ์ที่ไม่ได้จดทะเบียน
(อ่านประกอบ : รอง ผอ.สำนักพุทธฯโดนด้วย! ร่วม ผอ.สงขลา ปมเรียกเงินวัด 3 แห่ง-ศอตช.ลุยสอบ)
เพื่อขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปเหตุการณ์ให้เข้าใจง่าย ดังนี้
ตามสำนวนการสืบสวนของพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ พบข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2558 นายเสถียร ได้นัดพบกับพระครูบริหารสังฆานุวัตร และมีการเรียกรับเงินที่ทางสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติโอนเป็นเงินสนับสนุนสำหรับจัดทำโครงการอบรมพระธรรมทูตเผยแผ่พุทธศาสนา ประจำปี 2558 โดยได้โอนเงินเข้าวัดชลธาราวาส จำนวน 4 ล้านบาท และนายเสถียรได้เรียกรับเงินและทำความตกลงกับวัดให้มอบเงิน จำนวน 3.2 ล้านบาท โดยทางวัดตกลงมอบเงิน และนัดส่งมอบเงินที่ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาสงขลา กระทั่งถูก ‘จับสด’ พร้อมของกลางดังกล่าว
ทั้งนี้หากพบเจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งไม่สูงถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำผิดฐานทุจริต เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถมอบหมายให้พนักงานสอบสวนเป็นคนสอบสวน หรือจะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นมาเองก็ได้ แต่กรณีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนเป็นสอบสวนเอง ก่อนที่จะส่งให้อัยการ จ.สงขลา
แต่ต่อมา อัยการ จ.สงขลา มีคำสั่งไม่ฟ้องนายเสถียรตามข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีผู้กล่าวหาจับผู้ต้องหา (นายเสถียร) ได้พร้อมของกลาง ซึ่งจากการสอบสวนได้ความว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในเรื่องการจัดกิจกรรมทางศาสนา
ซึ่งฝ่ายผู้ต้องหามีนางประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ให้การยืนยันว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ และยืนยันว่าวัดชลธาราวาส ได้รับจัดสรรเงินประมาณ 8 แสนบาท และโอนเข้าบัญชีวัดไป 4 ล้านบาท จึงเป็นเงินที่ต้องนำไปจัดสรรให้วัดอื่น จำนวน 3.2 ล้านบาท โดยผู้ต้องหามีอำนาจในการปรับ ลด เพิ่ม เปลี่ยนแปลงงบประมาณโครงการ สถานที่ได้ทั้งหมด และยืนยันว่าเงินจำนวน 3.2 ล้านบาท เป็นเงินที่ต้องนำไปใช้ในกิจกรรมอื่นอีก 3 กิจกรรม
นอกเหนือจากนางประนอมแล้ว ยังมีนายมานะ ลืสวัสดิ์ ผอ.สำนักพระพุทธฯ จ.นราธิวาส และนายถมยา ศรีประสมสวัสดิ์ ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ จ.ปัตตานี ให้การยืนยันว่า เงินจำนวน 3.2 ล้านบาท เป็นเงินที่ผู้ต้องหาขอรับคืนเพื่อนำไปจัดสรรโครงการอื่นอีก 3 โครงการ ซึ่งผู้ต้องหาสามารถปรับเปลี่ยนได้
ดังนั้นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุที่ได้ทำการสอบสวนมา ข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังได้ว่าผู้ต้องหากระทำผิดตามข้อกล่าวหา คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงมีคำสั่งไม่ฟ้อง นายเสถียร ผู้ต้องหาดังกล่าว
ขณะเดียวกันนายสมยศ เสรีอภินันท์ รักษาการตำแหน่งอัยการ จ.สงขลา เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เพิ่งย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ และแค่เซ็นคำสั่งเท่านั้น ส่วนการสอบสวนเพิ่มเติมเป็นหน้าที่ของอัยการผู้รับผิดชอบสำนวนคนเก่าที่ย้ายไปบรรจุที่อื่นแล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่า อัยการพิจารณาสำนวนตามที่พนักงานสอบสวนทำมา ไม่ได้พิจารณานอกเหนือจากสำนวนแต่อย่างใด
(อ่านประกอบ : หลักฐานไม่พอ! อัยการไม่ฟ้อง ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกรับเงินวัด 3.2 ล., ไขปริศนา? ทำไมอัยการไม่ฟ้อง ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกรับเงิน 3.2 ล., เพิ่งรับตำแหน่งไม่รู้เรื่อง! อัยการยันเห็นพ้อง ตร.ปมไม่ฟ้อง ผอ.สำนักพุทธฯสงขลา)
นี่คือสำนวนการสอบสวน และคำให้การของพยาน ที่ต่อมาถูกนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่า สตง. ระบุว่า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น !
“เรื่องนี้ตามข้อเท็จจริงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีการโอนเงินผิดขนาดนั้น รวมถึงหากมีการโอนเงินผิดจริง ทำไมถึงไม่ให้วัดดำเนินการโอนเงินคืนมา หรือโอนคืนเป็นเช็ค ซึ่งตามระเบียบราชการต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ให้ทางวัดถือเงินสดมามอบคืน รวมถึงเป็นการคืนที่ลานจอดรถ ทำไมถึงไม่คืนในสถานที่ราชการ ดังนั้นการที่รอง ผอ.สำนักพระพุทธฯ กล่าวอ้างจึงฟังไม่ขึ้น” เป็นคำยืนยันจากผู้ว่า สตง.
กระทั่ง ผอ.ป.ป.ช.สงขลา ได้นำสำนวนการสอบสวนดังกล่าว นำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ล่าสุดคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้เรียกสำนวนการสอบสวนดังกล่าว มาไต่สวนเองที่ส่วนกลางแล้ว
(อ่านประกอบ : อ้างฟังไม่ขึ้น! สตง.ยันให้วัดถือเงินสดคืน ผอ.สำนักพุทธสงขลา 3.2 ล.ผิดปกติ, ป.ป.ช.เรียกคืนสำนวน! ปมอัยการไม่ฟ้อง ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกเงิน 3.2 ล.)
เงื่อนปมที่น่าสนใจในประเด็นนี้คือ ตามระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยการจ่ายเงินผลประโยชน์ของวัด พ.ศ.2557 ข้อ 7 วรรคสอง ระบุทำนองว่า หากมีการเบิกเงินเกิน 5 แสนบาท จะต้องให้มหาเถรสมาคมเป็นผู้อนุมัติ และเมื่ออนุมัติแล้วจึงส่งเรื่องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการอนุมัติ
ดังนั้น ในเมื่อมหาเถรสมาคมมีมติอนุมัติแล้ว โดยเป็นวงเงิน 8 แสนบาท (ตามที่นางประนอมกล่าวอ้าง) ไฉนจึงมีการโอนเงินไปให้วัดถึง 4 ล้านบาท เท่ากับว่าโอนผิดไปถึง 3.2 ล้านบาท
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้จริงหรือที่จะมีการโอนเงินให้ผิดมากถึงขนาดนั้น ทั้งที่การจัดสรรงบประมาณตามสำนักงบประมาณย่อมต้องมีการระบุตัวเลขเงินไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าวัดไหนได้เท่าไหร่
แม้ว่าจะมีการโอนเงินผิดจริง (อย่างที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้) ก็ตาม แต่ทำไมไม่ให้วัดโอนเงินคืนกลับไปยังสำนักพระพุทธศาสนาฯเอง ไฉนต้องให้วัดเบิกเงินออกมาเป็นเงินสด หิ้วไปมอบให้นายเสถียร เพราะต้องไม่ลืมว่าการถือเงินสด 3.2 ล้านบาท ย่อมเป็นที่สะดุดตา และอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ทำไมต้องทำเรื่องนี้ให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนด้วย ?
นอกเหนือจากนี้ ไม่ได้มีการโอนผิดแค่วัดเดียวเท่านั้น (ตามสำนวนการไต่สวนของ ศอตช.) แต่มีการโอนผิดถึง 3 วัด รวมวงเงินกว่า 12 ล้านบาท และมีการเรียกคืนเงินบางส่วนกลับคืนมาทั้งหมดด้วย !
เงื่อนปมถัดมาคือ ไฉนนางประนอม ถึงไม่ติดอยู่ในข่ายรายชื่อตาม ม.44 ด้วย ทั้งที่นายเสถียร ถูกพักงานตาม ม.44 ไปแล้ว ?
หรืออาจเป็นไปได้ว่า ในช่วงที่ ศอตช. เรียกไปไต่สวนเบื้องต้น นางประนอมอาจ 'กลับคำให้การ' จากในชั้นอัยการ บอกเล่าพฤติการณ์ทั้งหมดของนายเสถียร หรือว่า ศตอช. อาจสอบแล้วแต่พยานหลักฐานยังไปไม่ถึง จึงส่งชื่อแค่นายเสถียรก่อน ส่วนนางประนอม ศตอช. ขอตรวจสอบรายละเอียดให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้
ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือ ศอตช. จะต้องขยายผลสอบไปยังวัดทั่วประเทศว่าเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีกหลายพื้นที่หรือไม่
ป้องกันไม่ให้มี ‘เหลือบไร’ เข้ามาหากินกับพระพุทธศาสนา ที่กำลังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสขึ้นอีก !
อ่านประกอบ : กางระเบียบจ่ายเงินวัด! ขมวดพิรุธปม ผอ.สำนักพุทธฯสงขลาเรียกรับเงิน 3.2 ล.