พฤติกรรม‘พ.ท.หญิง-พวก’คดีขายรถ 49 คัน ทบ.‘พล.อ.ธีรชัย’สั่งสอบ- 2 ปียังไม่เสร็จ?
เปิดบันทึกฉบับเต็ม!พฤติกรรม ‘พ.ท.หญิง-จ.ส.อ.-พ่อค้าของเก่า’ คดีลักลอบขายซากรถยนต์บรรทุก 49 คัน ทบ. ก่อน ‘พล.อ.ธีรชัย’ ยุคนั่ง ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ‘อนุมัติ’ ตั้ง คกก.สอบ เมื่อ 14 พ.ย.57 พร้อมข้อสังเกต เกือบ 2 ปี ไฉน!ไม่เสร็จ?
กรณีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ส่งเรื่องให้กองทัพบกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีข้าราชการทหารจำนวน 2 รายร่วมเอกชนลักลอบขายซากรถยนต์ของทางราชการ ต่อมา 14 พ.ย.57 พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วย ผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.-ขณะนั้น) ได้มีคำสั่งอนุมัติให้ จเรทหารบก (จบ.) ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลในสังกัด ลักลอบนำรถยนต์บรรทุกของทางราชการขายให้แก่บุคคลภายนอก ตามข้อมูลที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานก่อนหน้านี้ (อ่านประกอบ:คดีใหม่!ลักลอบขายซากรถยนต์ 49 คัน ทบ. ‘พล.อ.ธีรชัย’สั่งสอบหลัง สตง.พบ‘หลายครั้ง’)
ล่าสุดหนังสือขออนุมัติตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯโดย พล.ท.สุรเดช เฟื่องเจริญ เจ้ากรมกำลังพล ทบ. (จก.กพ.ทบ.) เสนอ ผบ.ทบ.(ผ่าน ผช.ผบ.ทบ.1 ) ฉบับลงวันที่ 13 พ.ย.57 มาเสนอ มีสาระสำคัญดังนี้
1.กพ.ทบ. ขออนุมัติให้ จบ. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณี สตง.ขอให้ ทบ.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลในสังกัด ลักลอบนำรถยนต์บรรทุกของทางราชการขายให้กับบุคคลภายนอก
2. ข้อเท็จจริง
2.1 สตง.ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ กค.ขส.ทบ. ว่ามีการร่วมกันลักลอบนำรถยนต์ของทางราชการจำนวนกว่า 20 คัน ขายให้กับบุคคลภายนอก ได้เงิน 2 ล้านบาท โดยบุคคลทั้งสองได้ทำผิดมาหลายครั้ง แต่ไม่มีใครลงโทษ จึงขอให้ ทบ. แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้ทบทวนการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
2.2 กพ.ทบ. (กรมกำลังพล) ได้แจ้งให้ ขส.ทบ. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ต่อกรณีดังกล่าวตามข้อ 1 และรวบรวมเอกสารหลักฐาน การควบคุม การจำหน่าย สป. ที่เกี่ยวข้อง
2.3 ขส.ทบ. (กรมการขนส่งทหารบก) ได้รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่ามีการกระทำอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ โดยการนำเอาซากยานพาหนะที่ชำรุดไปจากหน่วยใช้โดยตรง ทั้งนี้ ขส.ทบ.ได้พิจารณาขอให้ลงทัณฑ์ทางวินัยกับกำลังพลที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ ขส.ทบ. จำนวน 2 นาย ประกอบด้วย พ.ท.หญิง (ขอปิดบังชื่อ) หน.ขส.ทบ. และ จ.ส.อ.(ขอปิดบังชื่อ) เจ้าหน้าที่แผนกทะเบียน กค.ขส.ทบ. เนื่องจาก ปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นตามระเบียบ ทบ. ว่าด้วยการจำหน่ายสิ่งอุปกรณ์ พ.ศ.2557 พร้อมกับให้ ทบ.พิจารณาสั่งการ ในการดำเนินการเกี่ยวกับแพ่ง และทางอาญา กับผู้ที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป
2.4 ขส.ทบ. รายงานมูลค่าความเสียหายกรณีกำลังพล ลักลอบนำซากยานพาหนะของทางราชการขายกับบุคคลภายนอก ด้วยการนำเอาข้อมูลราคากลาง ซาก สป. ทั้ง 49 คัน ซึ่งเป็นมูลค่าที่ทางราชการควรจะได้รับประโยชน์ จากการแลกเปลี่ยนมาเป็นกรอบในการคำนวณ คิดเป็นมูลค่า ความเสียหายทั้งสิ้น 7,684,370.38 บาท
2.5. กพ.ทบ. ได้ส่งรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของ ขส.ทบ. ให้ สธน.ทบ. (สำนักงานพระธรรมนูญทหารบก) และ กบ.ทบ. ( กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก) พิจารณาร่วม
2.6 กบ.ทบ. พิจารณาร่วมแล้วมีความเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ กค.ขส.ทบ. ได้ละเว้นและไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ทบ.ว่าด้วยการจำหน่ายอุปกรณ์ พ.ศ.2557 กล่าวคือ ไม่ได้นำซากยานพาหนะ ที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายและตัดยอดจากบัญชีคุมรวมทั้งได้รับการปลดทะเบียนรถยนต์ทหารแล้วที่หน่วยต่างๆ ใน ทบ. นำส่งคืนไปเก็บไว้ที่ตำบลรวบรวมซาก สป.จำหน่ายของ ขส.ทบ. (กค.ขส.ทบ.) เพื่อขึ้นบัญชีคุมเป็น สป. จำหน่ายของหน่วย รวมทั้งยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ผบ.ทบ. ให้ปฏิบัติต่อซากยานพาหนะด้วยวิธีการแลกเปลี่ยน หรือขายทอดตลาดอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนถึงจะให้ผู้ประกอบการมาดำเนินการขนย้ายซากยานพาหนะจากตำบลรวบรวมซาก สป. จำหน่ายของ ขส.ทบ. (กค.ขส.ทบ.) ไปยังสถานประกอบการของผู้ประกอบการได้ ทั้งนี้ในการส่งมอบซากยานพาหนะ ขส.ทบ.จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการส่งมอบซากฯ และทำหลักฐานบันทึกการส่งมอบไว้แก่กันด้วย สำหรับการที่จะพิจารณาว่ามีกำลังพลของหน่วย กระทำผิดวินัยทหาร จำนวน 2 นาย ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เห็นควรให้หน่วยที่เกี่ยวข้องของ ทบ. ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป
2.7 สธน. ทบ. พิจารณาร่วมแล้วมีความเห็นว่า จากข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานในสำนวนเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ แต่เป็นเรื่องที่ กค.ขส.ทบ. ได้เคยปฏิบัติมาจึงถือได้ว่าการกระทำของ พ.ท.หญิง (ขอปิดบังชื่อ) และ จ.ส.อ.(ขอปิดบังชื่อ) มีมูลความผิดทางวินัยทหาร และอาญาทหาร ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบและขอบังคับของทางราชการ
ส่วนจะเป็นความผิดทางอาญาอื่นๆ ยังไม่สามารถระบุได้ว่า พ.ท.หญิง (ขอปิดบังชื่อ) และ จ.ส.อ.(ขอปิดบังชื่อ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างไรในการนำซากยานพาหนะของทางราชการไปจำหน่ายให้เอกชนได้ อีกทั้ง ไม่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าหน่วยเจ้าของซากยานพาหนะจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อจำหน่ายซากยานพาหนะ ตลอดจนการดำเนินการของ ขส.ทบ. จึงยังไม่สามารถสรุปเพื่อชี้ว่า กำลังพลทั้งสองนายดังกล่าว มีมูลเป็นความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตหรือไม่
ส่วนจะเป็นความผิดอาญาอื่นหรือไม่ นั้นเห็นว่า ข้อมูลและพยานหลักฐานการกระทำของ พ.ท.หญิง (ขอปิดบังชื่อ) และ จ.ส.อ.(ขอปิดบังชื่อ)และ นาย (ขอปิดบังชื่อ) ผู้รับเหมา มีลักษณะการกระทำที่อาจถือเป็นความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ สมควรที่จะต้องดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อให้ได้ความชัดเจนในประเด็นต่างๆมากกว่านี้ก่อน
3.กพ.ทบ.พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรายงานผลกรสอบสวนฯของ ขส.ทบ. ได้พิจารณาลงทัณฑ์ทางวินัยกับกำลังพลที่เกี่ยวข้อง โดยมิได้ทำการสอบสวนให้ได้ความชัดเจนว่ากำลังพลที่เกี่ยวข้องกระทำการอันมีมูลความผิดในทางอาญาฐานใด หรือไม่ อย่างไร และจากผลการพิจารณาของ สธน.ทบ. และ กบ.ทบ. ก็ไม่สามารถ นำข้อเท็จจริงตามรายงานผลการสอบสวนฯ ของ ขส.ทบ. มาพิจารณาได้
ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงถูกต้อง ครบถ้วน ตามผลการพิจารณาของ สธน.ทบ. และ กบ.ทบ. และสามารถดำเนินการต่อผู้กระทำผิดได้ จึงเห็นสมควรให้ จบ. ตั้งคณะกรรมการ สอบสวนข้อเท็จจริง ในระดับ ทบ. เพื่อทำการสอบสวนต่อกรณีดังกล่าวตามข้อ 1 แล้วรายงานผลการสอบสวนฯให้ ทบ.(ผ่าน กพ.ทบ. ทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป
4.ข้อเสนอ เห็นควรดำเนินการดังนี้
4.1 ให้ จบ.ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในระดับ ทบ. ตามที่พิจารณาในข้อ 3
4.2 ให้ กพ.ทบ. แจ้งผลการดำเนินการให้ สตง.ทราบ
จึงเรียนมาเพื่อกรุณาพิจารณา หากเห็นเป็นการสมควร กรุณาอนุมัติ ตามเสนอในข้อ 4 ทั้งนี้อยู่ในอำนาจของ ผบ.ทบ. ซึ่งมอบให้ ผช.ผบ.ทบ.(1) อนุมัติตามคำสั่ง ทบ.ที่ 318/2557 ลง 1 ต.ค.57 และ คำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ที่ 1159/57 ลง 1 ต.ค.57
พล.ท.สุรเดช เฟื่องเจริญ จก.กพ.ทบ.”
ท้ายบันทึกข้อความฉบับนี้ รองเสธ.ทบ (1) แทงเสนอ ผบ.ทบ. (ผ่าน ผช.ผบ.ทบ. (1)) “เห็นควรอนุมัติตามที่กพ.ทบ.เสนอในข้อ 4” ลงวันที่ 13 พ.ย.57
และ ผช.ผบ.ทบ. (1) (พล.อ.ธีรชัย นาควานิช) “อนุมัติตามเสนอในข้อ 4” เมื่อ 14 พ.ย.57
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่า
1.หากนับช่วงเวลาที่ สตง.แจ้งให้ ทบ.ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ตามหนังสือ ลง 14 ส.ค. 57 จนถึงขณะนี้เป็นเวลาประมาณ 2 ปี กระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการฯเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ หากยังไม่แล้วเสร็จ เป็นเพราะเหตุใด?
2.มีการลงโทษ ทางวินัยทหารและอาญาทหารกับบุคคลทั้งสองคนตามความเห็นของ สธน.ทบ.แล้วหรือไม่?
3.บุคคลทั้งสองยังรับราชการอยู่หรือไม่ เหตุให้จึงยังไม่ถูกไล่ออก?
4.มีการดำเนินคดีกับเอกชนที่ร่วมกระทำผิด หรือมีมาตรการในการขึ้นบัญชีดำเอกชนรายดังกล่าวหรือไม่?
เป็นเรื่องที่กองทัพบก ควรดำเนินการให้กระจ่างโดยเร็ว