สกศ.ระดมความคิดเห็นเครือข่าย ตั้งเป้าคลอด ‘สมัชชาการศึกษาจังหวัด’ 30 ก.ย.
อดีตสปช. ชี้การเกิดเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาการศึกษาในรูปแบบใดก็ตาม ต้องสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการจัดการเรียนรู้ อย่าปล่อยให้การเกิดสมัชชาการศึกษาเป็นเรื่องของคนในสภาการศึกษาเท่านั้น
วันที่ 25 เมษายน 2559 ณ ห้องปิ่นมณฑล โรงแรมเอส ดี อเวนิว กรุงเทพฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดการประชุมระดมความคิดเห็น “การจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาการศึกษา” เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดตั้งสมัชชาการศึกษาทั่วประเทศ ภายใน 30 กันยายน 2559 โดยมีเครือข่ายผู้เข้าร่วมระดมความคิดเห็นจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ เครือข่าย 15 จังหวัดปฏิรูปการเรียนรู้จากสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) เครือข่ายภูมิปัญญาไทย เครือข่ายบ้านเรืยน เครือข่ายเด็กเยาวชน เป็นต้น
ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการ สกศ. ประธาน กล่าวว่า รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ เพื่อหวังให้ประเทศไทยพ้นจากการเป็นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ในแง่การจัดการศึกษาจึงมีความจำเป็นที่ต้องสร้างนวัตกรรมในการจัดการศึกษาในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สอดรับกับแผนการศึกษาชาติซึ่งวางไว้ 15 ปี ฉะนั้นการใช้ระบบเครือข่ายในการจัดตั้งสมัชชาการศึกษา จึงควรเกิดจากฐานราก และมาจากความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน มิใช่หน้าที่เฉพาะกระทรวงศึกษาเพียงอย่างเดียว
"สกศ.มุ่งหวังที่จะจัดสภาการศึกษาจังหวัดขึ้น โดยครั้งนี้มุ่งหวังให้เกิดการจัดตั้งที่เป็นระบบ โดยปัจจุบันมีหลายจังหวัดที่มีกลไกการเกิดสมัชชาการศึกษาแล้ว อาทิ เครือข่ายจังหวัดปฏิรูปการเรียนรู้ สสค.และสสส. แต่ยังมีหลายจังหวัดที่ขาดแนวทางในการจัดตั้ง จึงอยากใช้เวทีระดมความคิดเห็นครั้งนี้เพื่อสร้างแนวทางเครือข่ายด้านการศึกษาและสมัชชาการศึกษาให้ครบทุกจังหวัด"
ดร.กมล กล่าวว่า หากตั้งเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาการศึกษาขึ้นแล้ว เครือข่ายต้องทำหน้าที่ชี้นำทิศทางการศึกษาของจังหวัดที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ นอกเหนือจากปล่อยให้รัฐชี้นำอยู่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นเครือข่ายภาคประชาสังคม ต้องช่วยสนับสนุนในเรื่องความคิดและการอำนวยความสะดวกในพื้นที่เพื่อประโยชน์ของคนในจังหวัด ซึ่งสกศ.เองอยากเห็นเครือข่ายสร้างองค์ความรู้ด้านจัดการศึกษาให้กับพื้นที่ (Knowledge Society) โดยมีการตั้งสำนักส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาทางการศึกษา (สคร.) ขึ้นเพื่อขับเคลื่อนสมัชชาการศึกษาจังหวัดต่อไป โดยจะนำไปสู่การร่างแนวทางการขับเคลื่อนเครือข่ายในพื้นที่ในเดือนถัดไป และตั้งเป้าให้เกิดสมัชชาการศึกษาภายใน 30 ก.ย.นี้”
ด้านนพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กล่าวถึงประสบการณ์การในการจัดตั้งสมัชชาสุขภาพ ซึ่งแต่เดิมติดกรอบเฉพาะหน่วยงานด้านสาธารณสุขว่า "การชวนมาระดมความคิดเห็นเรื่องการเรียนรู้ หรือการตั้งสมัชชาการศึกษาจังหวัด ไม่ใช่ตั้งเพื่อให้เกิดการจัดตั้งการศึกษาในระบบเช่นเดิม แต่ต้องสร้างให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างคนทุกภาคส่วนในชุมชน ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับการจัดตั้งสมัชชาสุขภาพ ฉะนั้นการเกิดเครือข่ายความร่วมมือและสมัชชาการศึกษาในรูปแบบใดก็ตาม ต้องสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการจัดการเรียนรู้ และอย่าปล่อยให้การเกิดสมัชชาการศึกษาเป็นเรื่องของคนในสภาการศึกษาเท่านั้น
"เครือข่ายสมัชชาการศึกษา จึงควรจะหมายถึงระบบ กลไก กระบวนการและเครื่องมือเพื่อนำสู่การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเรียนรู้แบบ มีหุ้นส่วน และควรให้คนในสภาการศึกษาเป็นหนึ่งกลไลให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนในแต่ละ จังหวัด เพราะหากเราจะสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ ก็จำเป็นใช้รูปแบบการจัดการใหม่ มิใช่การสั่งการเช่นเดิม”
ทั้งนี้ นพ.อำพล กล่าวด้วยว่า ในการขับเคลื่อนสมัชชาการศึกษาควรประกอบด้วยกลไก 5 ประการ ได้แก่ 1) การสร้างกลุ่มแกนนำเพื่อการเปลี่ยนแปลง 2) การสร้างกระบวนการสร้างความเข้าใจให้เครือช่ายและกลไกขับเคลื่อน 3) การขยายเครือข่ายภาคีแกนนำ 3 ส่วน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการและภาคประชาสังคม 4) การส่งเสริมให้เกิดแนวคิดด้านเสริมพลัง และ 5) ไม่ควรเริ่มด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ และคู่มือ แต่ให้คนในระบบการศึกษาเดิมนำไปลงมือปฏิบัติ
ขณะที่นายทองสุข รวยสูงเนิน รองประธานคณะกรรมการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นแกนนำในการเปิดเวทีสมัชชาการศึกษาสุรินทร์กล่าวถึงการจัดการศึกษา เชิงพื้นที่ซึ่งเปิดโอกาสให้คนทุกภาคส่วนร่วมกันวางแผนอนาคตการศึกษาจังหวัด สุรินทร์ว่า คนสุรินทร์คาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ 2 ประเด็น คือ จากเดิมงานที่ต่างคนก็ต่างทำตามภาระความรับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มที่อยู่ แล้ว นับจากนี้จะเกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างหน่วยงานแต่ละสังกัด ที่นอกจากรับฟังนโยบายจากต้นสังกัดแล้ว ยังมีการฟังข้อมูลจากชุมชนรอบข้าง ดูทิศทางและนโยบายของจังหวัด และมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการศึกษา ซึ่งจะทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้
“เมื่อเกิดคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด (กศจ.) ตามม.44 แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ก็เห็นควรตั้งคณะกรรมการการจัดการศึกษาเชิงพื้น จังหวัดสุรินทร์นี้ให้เป็นกลไกทำงานควบคู่กันเพื่อนำสู่การจัดแผนพัฒนาการ ศึกษาจังหวัดสุรินทร์ ทั้งนี้เห็นควรให้สภาการศึกษาเชื่อมงานกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การเกิดสมัชชาการศึกษาครั้งนี้เชื่อมต่อกับกระบวนการขับเคลื่อน “กศจ.” ด้วย”