'ดุสิตโพล' เผยคนเชียร์ 'ส.ว.ลากตั้ง' ร่วมโหวตนายกฯ
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.59 "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผย ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่องการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีคำถามพ่วงให้ประชาชนตอบอีก 1 คำถาม โดยสอบถามความเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,265 คน ระหว่างวันที่ 4-9 เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.35 ระบุเห็นด้วย เพราะหากเป็นคำถามสำคัญและมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทำให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น สามารถตอบได้ไม่ได้ยุ่งยากจนเกินไป รองลงมาร้อยละ 25.53 ระบุเฉยๆ เพราะยังไม่ทราบความคืบหน้า ไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจน ประชาชนมีสิทธิที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ ควรมีการชี้แจงถึงความสำคัญและประโยชน์ของการเพิ่มคำถาม สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน มีเพียงร้อยละ 13.12 ระบุไม่เห็นด้วย เพราะกังวลว่าจะเป็นการตั้งคำถามที่ชี้นำหรือทำให้ประชาชนสับสน ตัดสินใจผิดพลาดได้ มีหลายกระแสมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ควรเน้นเฉพาะเรื่องการทำประชามติเท่านั้น
ส่วนคำถามเรื่องบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ควรใช้กี่ใบนั้น ส่วนใหญ่ร้อยละ 62.14 ระบุ ควรมีใบเดียว เพราะการกาบัตรสะดวก เข้าใจง่าย เจ้าหน้าที่นับคะแนนง่าย การตรวจสอบไม่ยุ่งยาก ประหยัดงบประมาณ ขณะที่ร้อยละ 22.21 ระบุ 2 ใบ เพราะประชาชนจะได้ไม่สับสนในการเลือกคนหรือลงคะแนน ที่ผ่านมาก็ใช้วิธีกาบัตร 2 ใบ ประชาชนมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว และร้อยละ 15.65 มี 1 ใบ หรือ 2 ใบก็ได้ เพราะถึงอย่างไรประชาชนก็ต้องออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ขอให้กระบวนการขั้นตอนต่างๆ เป็นไปด้วยความถูกต้อง ยุติธรรม จะ 1 ใบ หรือ 2 ใบ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่าควรให้ ส.ว. (มาจากการสรรหา) ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.02 ระบุควรให้ร่วมโหวตเลือกนายกฯ เพราะ ส.ว.เป็นส่วนหนึ่งของสภา ควรจะมีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อความยุติธรรม เท่าเทียม ส.ว.เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และมากประสบการณ์ การเลือกนายกฯ จะได้มาจากความคิดที่หลากหลาย ขณะที่ร้อยละ 47.98 ไม่ควรให้ร่วมโหวตเลือกนายกฯ เพราะอาจมีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำให้เกิดการแตกแยก นายกรัฐมนตรีควรมาจากเสียงของประชาชน ส.ว.ควรมีหน้าที่ให้คำปรึกษาตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจเท่านั้น
เมื่อถามว่า ควรมีคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 62.45 ระบุควรมี จะได้เป็นตัวกลางช่วยประสานสร้างความสมานฉันท์ สามารถขับเคลื่อนการทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างเต็มที่ อยากเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในบ้านเมือง มีเพียงร้อยละ 18.50 ระบุไม่ควรมี เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณ ไม่น่าจะช่วยสร้างความปรองดองได้ ปัญหาความแตกแยกมีมานานแก้ไขได้ยาก ขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละคน ทุกฝ่ายควรช่วยกันไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการปรองดอง

