พลิกก.ม.วินัยทหาร รู้จักลงทัณฑ์ 5 สถาน ห้ามแตะตัวผู้ถูกลงโทษ!
กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ สำหรับกรณีพลทหาร 2 นายที่สังกัดหน่วยทหารในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษจนถึงตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส
7 เม.ย.59 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สั่งการให้ทหาร 6 นายที่ร่วมกันกระทำความผิด ไปขอขมาศพ พลทหารทรงธรรม หมุดหมัด หนึ่งในผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
ขณะที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งย้ายผู้พันค่ายพยัคฆ์ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และทหารยศร้อยเอกอีกนายหนึ่ง ในฐานะผู้รับผิดชอบ แต่กลับปล่อยปละละเลยทำให้เกิดเรื่องขึ้น
ประเด็นนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง พร้อมๆ กับคลิปวีดีโอการทำร้ายทหารใหม่กรณีอื่นๆ ที่แชร์กันไปทั่ว ทำให้สังคมให้ความสนใจว่า การฝึกทหารใหม่ หรือการควบคุมวินัยของทหาร สามารถลงไม้ลงมือกันได้ถึงบาดเจ็บล้มตายเลยเชียวหรือ
9 พฤติกรรมกับทัณฑ์ 5 สถาน
จากการตรวจสอบของ “ทีมข่าวอิศรา” พบว่า แท้ที่จริงแล้วการลงทัณฑ์ทหารที่กระทำผิดวินัย ถูกควบคุมโดย พระราชบัญญัติวินัยทหาร พ.ศ.2476 ซึ่งยังคงบังคับใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
เนื้อหาในกฎหมายกำหนดตัวอย่างการกระทำผิดวินัยทหารเอาไว้ 9 ประการ ได้แก่
1. ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน
2. ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย
3. ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของทหาร
4. ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร
5. เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ
6. กล่าวคำเท็จ
7. ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร
8. ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ
9. เสพเครื่องดองของเมาจนถึงเสียกิริยา
เมื่อทหารกระทำผิดวินัย ก็จะต้องถูกลงทัณฑ์ ซึ่งทัณฑ์ที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดนั้น กำหนดไว้ 5 สถาน คือ 1.ภาคทัณฑ์ 2.ทัณฑกรรม 3.กัก 4.ขัง และ 5.จำขัง
กฎหมายยังได้นิยามความหมายของทัณฑ์แต่ละประเภทเอาไว้ด้วยอย่างชัดเจน ได้แก่
ภาคทัณฑ์ คือ ผู้กระทำผิดมีความผิดอันควรต้องรับทัณฑ์สถานหนึ่งสถานใดใน 5 สถาน แต่มีเหตุอันควรปราณี จึงเป็นแต่แสดงความผิดของผู้นั้นให้ปรากฏ หรือให้ทำทัณฑ์บนไว้
ทัณฑกรรม คือ ให้กระทำการสุขา การโยธา ฯลฯ เพิ่มจากหน้าที่ประจำซึ่งตนจะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว หรือปรับให้อยู่เวรยามนอกจากหน้าที่ประจำ
กัก คือ กักตัวไว้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งตามแต่จะกำหนดให้
ขัง คือ ขังในที่ควบคุมแต่เฉพาะคนเดียวหรือรวมกันหลายคนแล้วแต่คำสั่ง
จำขัง คือ ขังโดยส่งไปฝากให้อยู่ในความควบคุมของเรือนจำทหาร
กฎหมายยังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า นอกจากทัณฑ์ 5 สถานนี้แล้ว ห้ามมิให้คิดขึ้นใหม่ หรือใช้วิธีลงทัณฑ์อย่างอื่นเป็นอันขาด
คำถามก็คือ การลงโทษรูปแบบอื่นที่สังคมได้รู้ได้เห็นกันจนชินตา เช่น ยึดพื้น, วิ่ง หรือสก๊อตจัมพ์ อยู่ในการลงทัณฑ์สถานใด
"ปรับปรุงวินัย" 3 ท่ามาตรฐาน
เรื่องนี้ นายทหารจากกองทัพบก ให้ข้อมูลว่า การสั่งยึดพื้นหรือวิ่งเพื่อลงโทษนั้น ไม่ใช่การลงทัณฑ์ แต่ถือเป็นการ “ปรับปรุงวินัย” จะใช้กับการทำกระผิดวินัยเล็กน้อย หรือใช้ควบคู่กับโทษทางวินัย 5 สถาน เช่น หากทหารหนีเที่ยว ก็จะเข้าพฤติกรรมผิดวินัยในหัวข้อ “ละทิ้งหน้าที่ราชการ” ก็อาจถูกสั่งลงทัณฑ์สถานใดสถานหนึ่งใน 5 สถาน พร้อมปรับปรุงวินัยไปพร้อมกัน
แต่การปรับปรุงวินัย มีท่าพื้นฐานให้ทำได้เพียง 3 ท่าเท่านั้น คือ ยึดพื้น, สก๊อตจัมพ์ และวิ่ง
ที่ผ่านมา บางหน่วยที่เป็นหน่วยรบ หรือหน่วยที่ต้องใช้การฝึกอย่างหนัก อาจเพิ่มท่าการปรับปรุงวินัยนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เช่น ม้วนหน้า, ปั่นจิ้งหรีด, แทงปลาไหล แต่หลักการก็คือต้องไม่ถูกเนื้อต้องตัวผู้ที่ถูกลงทัณฑ์หรือปรับปรุงวินัย ทั้งนี้เพื่อป้องกันการลุกลามบานปลายจนกลายเป็นการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาและละเมิดสิทธิมนุษยชน
“การลงโทษทหารทุกกรณีมีเหตุและผลรองรับ เช่น หากทหารกระทำผิดในลักษณะทำให้เพื่อนทหารเดือดร้อน เวลาลงทัณฑ์ก็จะเลือกให้ทำในเรื่องส่วนรวม เช่น ขัดห้องน้ำรวม ขุดหลุมเพลาะ แต่ถ้าเป็นการกระทำผิดส่วนตัว เช่น ไม่เคารพผู้บังคับบัญชา รูปแบบการลงโทษก็จะแตกต่างออกไป เช่น ดองเวร คือให้อยู่เวรต่อเนื่องไป แต่การลงทัณฑ์ทุกอย่างก็จะมีเพดานว่าลงได้สูงสุดเท่าไหร่” นายทหารจากกองทัพบก ระบุ
"พลทหารปี 2 – นายสิบใหม่" แนวโน้มโหด
จากการตรวจสอบเพิ่มเติมกับทหารอีกหลายนาย ได้ข้อมูลตรงกันว่า ทหารกลุ่มที่นิยมใช้ความรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นพลทหารปี 2 ที่ได้รับหน้าที่ดูแลทหารใหม่ มักจะเลือกวิธีลงโทษอย่างรุนแรง นอกจากนั้นก็เป็นครูฝึกบางราย โดยลักลอบทำตอนกลางคืน ซึ่งที่ผ่านมากองทัพก็ทราบปัญหาเป็นอย่างดี จึงออกกฎให้นายทหารสัญญาบัตรต้องนอนเฝ้าทหารใหม่ที่โรงนอน
“แต่มันก็เฝ้าไม่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรื่องนี้เป็นปัญหาโลกแตก บางคนไม่เคยได้สิทธิ์ลงโทษใคร พอมีอำนาจก็ใช้ความรุนแรงเต็มที่ ส่วนใหญ่เป็นพวกพลทหารปี 2 หรือนายสิบใหม่ บางคนเมามาก็มาลงกับทหารก็มี การลงโทษบางอย่างไม่ได้ทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่แกล้งให้ฝึกในสภาพอากาศที่ร้อนจัดจนป่วยตายก็เคยมี ซึ่งที่ผ่านมากองทัพก็จัดการ และเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่ใช่นโยบาย” นายทหารจากกองทัพไทย ระบุ
มาตรา 6 "ใช้อาวุธได้" เป็นข้อยกเว้น
สำหรับมาตรา 6 พระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร ที่ระบุให้ผู้บังคับบัญชาสามารถใช้อาวุธได้หากจำเป็นนั้น นายทหารจากหน่วยที่รับผิดชอบงานด้านสารบัญอธิบายว่า เป็นกรณีเฉพาะในยามศึกสงคราม มีการประกาศกฎอัยการศึก หรือพื้นที่ชายแดนที่ทหารทุกนายถืออาวุธ
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร มาตรา 6 บัญญัติว่า “ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่จัดการระวังรักษาวินัยทหารที่ตนเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่นั้นโดยกวดขัน ถ้าหากว่าในการรักษาวินัยทหารนั้นจำเป็นต้องใช้อาวุธ เพื่อทำการปราบปรามทหารผู้ก่อการกำเริบก็ดี หรือเพื่อบังคับทหารผู้ละทิ้งหน้าที่ให้กลับทำหน้าที่ของตนก็ดี ผู้บังคับบัญชาและผู้ที่ช่วยเหลือในการนั้นจะไม่ต้องรับโทษในการที่ตนได้กระทำไปโดยความจำเป็นนั้นเลย แต่เมื่อมีเหตุดังกล่าวนี้ผู้บังคับบัญชาจักต้องรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือตน และรายงานต่อไปตามลำดับชั้นจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยเร็ว”
“กฎหมายใช้คำเฉพาะที่แตกต่างจากพฤติกรรมผิดวินัยทหาร 9 ประการ คือ ใช้คำว่าก่อการกำเริบ ฉะนั้นจึงไม่ใช่กรณีทั่วไป โดยมากใช้ในภาวะสงคราม หรือพื้นที่ชายแดน เพราะทุกคนถือปืน บรรจุกระสุนพร้อมยิงได้หมด กระบวนการลงโทษที่ให้ไม่กล้าทำอีกจึงต้องมี แค่สั่งยึดพื้นอย่างเดียวคงไม่ได้ ถ้าเข้าข่ายกระด้างกระเดื่อง ก็ต้องจัดการ ไม่อย่างนั้นออกสนาม ถือปืนเดินตามหลัง ยิงใส่เมื่อไหร่ก็ตายกันหมด” นายทหารจากหน่วยสารบัญ กล่าว
"ซ้อมทรมาน" ปัญหาส่วนตัวไม่ใช่นโยบาย
สำหรับกฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับการลงทัณฑ์ทหาร และการปรับปรุงวินัยนี้ ใช้กับทหารทุกระดับ ตั้งแต่นักเรียนทหาร พลทหาร หรือทหารใหม่ รวมทั้งทหารประจำการที่กระทำผิดวินัยทุกนาย โดยผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับชั้นจะมีอำนาจในการลงทัณฑ์ในเพดานสูงสุดที่ลดหลั่นกันไป ขึ้นอยู่กับระดับของผู้บังคับบัญชาและชั้นของผู้ถูกลงทัณฑ์
นายทหารที่ให้ข้อมูลกับ “ทีมข่าวอิศรา” ยังบอกด้วยว่า แม้จะมีโทษทางวินัย แต่หากกำลังพลกระทำผิดทางอาญา ก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอาญาด้วย ไม่มียกเว้น
และกฎหมายกับระเบียบต่างๆ ว่าด้วยวินัยทหารและการลงทัณฑ์ เป็นเรื่องที่ทหารทุกนายรับรู้ ฉะนั้นผู้ที่กระทำผิด จึงเป็นการกระทำในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่นโยบายของกองทัพ