เเอมเนสตี้ฯ เรียกร้องไทย ให้สิทธิเสรีภาพเเสดงออก สมาคม ชุมนุมสงบ
เเอมเนสตี้ฯ ออกเเถลงการณ์ ครบ 1 ปี ที่กฎอัยการศึกกลับมาในรูปเเบบคำสั่ง คสช. เรียกร้องทางการไทยให้สิทธิเเสดงออก ชุมนุมสงบ กระตุ้นองค์กรระหว่างประเทศกดดัน หวังเเก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนเสื่อมถอย
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ ประเทศไทย: ครบหนึ่งปีที่กฎอัยการศึกกลับมาในรูปแบบคำสั่ง คสช. ใจความว่า
เนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งปีหลังการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในไทย และในโอกาสที่ทางการประกาศเปิดหลักสูตรปรับทัศนคติในค่ายทหารสำหรับผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องทางการไทยให้ยกเลิกอำนาจตาม คำสั่งของคสช ที่เสมือนการใช้กฎอัยการศึกอีกครั้ง” จากการที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารในการจำกัดสิทธิมนุษยชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเสื่อมของของหลักนิติธรรมในประเทศ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันเนลยังเรียกร้องทางการไทยให้ยุติการปราบปรามการแสดงออกอย่างสงบของผู้เห็นต่างที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอันเป็นผลจากการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร
เจ้าหน้าที่ทหารได้รับอำนาจมากขึ้นโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ อำนาจที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 ลงวันที่ 1 เมษายน 2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 13/2559 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2559 ซึ่งก่อให้เกิดการลิดรอนสิทธิที่จะมีเสรีภาพ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม เสรีภาพในการเดินทาง เสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุม รวมทั้งการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ
คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหารไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมแบบปรกติ และพ้นจากการกำกับดูแลเกี่ยวกับการใช้อำนาจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยไม่ตั้งข้อหา ขณะที่ผู้ถูกควบคุมตัวไม่สามารถเข้าถึงการคุ้มครองสิทธิจากระบบตุลาการ
ทั้งยังให้มีการควบคุมตัวในสถานควบคุมตัวที่ตั้งขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการและไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอก เจ้าหน้าที่ทหารยังสามารถสั่งค้นโดยไม่มีหมายศาล สามารถสั่งยึดทรัพย์สิน เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน และสั่งฟ้องคดีต่อบุคคลในศาลทหารโดยไม่ต้องได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นด้วย
ที่ผ่านมามักมีการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกและเป็นไปโดยพลการ การใช้อำนาจเช่นนี้อาจส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และอาจสนับสนุนให้เกิดการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายทารุณ
แม้ทางการประกาศว่ามาตรการจำกัดสิทธิที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ทว่านับตั้งแต่ยกเลิกกฎอัยการศึก การปราบปรามการแสดงความเห็นต่างอย่างสงบกลับกลายเป็นเรื่องปรกติผ่านการให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ทหาร ทางการสามารถสั่งเรียกตัวสื่อมวลชน ประชาชนทั่วไป และนักการเมืองมาควบคุมตัวแบบลับได้ อันเป็นผลจากการแสดงความเห็นของพวกเขา โดยที่ผู้ที่ถูกควบคุมตัวเหล่านั้นต้องยอมรับเงื่อนไขการปล่อยตัวที่กำหนดให้งดเว้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองและยอมเสียเสรีภาพในการเดินทาง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ถูกควบคุมตัวโดยพลการเป็นครั้งที่สองในหนึ่งเดือนตามอำนาจของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 โดยเป็นผลจากการที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ทางการ
นอกจากนี้ ทางการยังปฏิเสธไม่ให้นายประวิตร โรจนพฤกษ์เดินทางไปยังประเทศฟินแลนด์เพื่อเข้าร่วมการประชุมเสรีภาพสื่อโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกควบคุมตัวโดยพลการสองครั้งและถูกควบคุมเสรีภาพในการเดินทาง
การออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 13/2559 มีเป้าหมายเพื่อปราบปราม “ผู้มีอิทธิพล” และ “ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ” ทำให้เกิดความหวาดกลัวมากขึ้นว่าจะมีการใช้อำนาจตามคำสั่งฉบับนี้เพื่อเป็นเครื่องมือในการปราบปรามทางการเมือง และเพื่อปิดปากผู้ที่แสดงความเห็นต่าง รวมทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังกังวลเกี่ยวกับบางมาตราในพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกได้สูงสุดเป็นเวลา 10 ปีต่อผู้ที่ใช้ภาษา “หยาบคาย” ในการแสดงการต่อต้านการทำประชามติรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือปิดปากผู้ที่แสดงความเห็นต่างอย่างสงบ ทางการยังคงข่มขู่ว่าจะปราบปรามการกระทำใดๆ ก็ตามที่เชื่อว่าอาจทำให้บุคคล “เข้าใจผิด” เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของราชการในช่วงก่อนจะมีการทำประชามติที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม 2559 และมีการขู่จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลที่ “ยุยง” ให้ผู้อื่นต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ
ทางการได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะตีความการแสดงความเห็นต่างอย่างสงบหลายประเภทให้เป็นภัยคุกคามต่อสังคมและความมั่นคง และใช้ข้อบทที่กำหนดไว้อย่างคลุมเครือในกฎหมายด้านความมั่นคงเพื่อเอาผิดทางอาญาแม้กระทั่งต่อการแสดงความเห็นต่างเชิงสัญลักษณ์
ยกตัวอย่างเช่น นางธีรวรรณ เจริญสุข อายุ 57 ปี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 และอาจได้รับโทษจำคุกเป็นเวลาเจ็ดปีในข้อหายุยงปลุกปั่น หลังจากต้องเข้ารับการพิจารณาคดีอย่างไม่เป็นธรรมในศาลทหาร โดย “ความผิดอาญา” ของเธอคือการโพสต์รูปตัวเองกับขันสีแดงที่มีลายเซ็นของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องทางการไทยให้ปฏิบัติต่อการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ ในฐานะที่เป็นสิทธิ ไม่ใช่อาชญากรรม
นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังกระตุ้นประชาคมระหว่างประเทศให้กดดันทางการไทยเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เสื่อมถอยลงในประเทศด้วย .