พลังจริยธรรมสื่อกดดัน 'สรยุทธ' ได้จริงหรือ? กับชะตาชีวิต หากแพ้คดี 2 ศาลสุดท้าย
"..ขณะที่การยุติการทำหน้าที่พิธีกร ของนายสรยุทธ ในครั้งนี้ ก็มิได้หมายความว่า นายสรยุทธ จะตัดขาดจากรายการทีวี หรือช่อง 3 เพราะสถานะปัจจุบันของนายสรยุทธ ก็ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัทไร่ส้ม ที่ทำธุรกิจจัดรายการเล่าข่าวกับช่อง 3 อยู่เหมือนเดิมนายสรยุทธ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนบทบาท จากหน้าจอ มาทำงานรายการอยู่เบื้องหลังเท่านั้น.."
"ตั้งแต่เย็นนี้ ผมขอยุติการทำหน้าที่พิธีกร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับช่อง 3 เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ขอบคุณครอบครัวช่อง 3 ขอบคุณแฟนข่าว ขอบคุณทุกกำลังใจ จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่ครับ"
คือ ข้อความของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก เป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานสนับสนุนพนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทุจริตเงินโฆษณาส่วนเกิน จำนวน 138 ล้านบาท ที่โพสต์ผ่านอินสตราแกรม @sorrayuth9111 ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณ 1.5 ล้านบัญชี ในช่วงเย็นวันที่ 3 มี.ค.2559
และนำไปสู่การเปลี่ยนตัวพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ใหม่ ในช่วงเช้ามืดวันที่ 4 ก.พ.2559
โดยไร้แม้กระทั่งเงาของ นายสรยุทธ ปรากฎในหน้าจอทีวี อีกต่อไป
พร้อมกับการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ ของนักวิชาการ และคนในวงการวิชาชีพสื่อมวลชนหลายคน ประหนึ่งว่า พลังแห่งกระแสสังคม ได้สร้างสรรค์บรรทัดฐานใหม่ ในเรื่องจริยธรรม ให้กับคนในวงการสื่อแล้ว
คำถามที่น่าสนใจ คือ พลังแห่งกระแสสังคม มีผลต่อการตัดสินใจ ยุติบทบาทหน้าจอทีวี ของ นายสรยุทธ จริงหรือ?
ทั้งนี้ หากจะย้อนเวลากลับไปในช่วงหลังจากที่ศาลมีคำตัดสินจำคุก นายสรยุทธ เป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
สาธารณชนจะเห็นว่า ในช่วงเวลานั้น ก็เริ่มมีนักวิชาการ คนในแวดวงวิชาชีพสื่อมวลชน ออกมาแสดงความเห็นเรียกร้องให้นายสรยุทธ ยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชนทันที
โดยตั้งประเด็นสำคัญในเรื่อง จริยธรรมของสื่อ ที่มีปัญหาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน
ซึ่งเป็นประเด็นเดิม ที่เคยออกมาเรียกร้องต่อนายสรยุทธ และช่อง 3 แล้วครั้งหนึ่ง ในช่วงแรกที่นายสรยุทธปรากฎชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ใหม่ๆ
แต่ต้องยอมรับว่ากระแสในช่วงนั้น ยังไม่แรงพอที่จะทำให้นายสรยุทธ ยุติบทบาทได้ เนื่องจากคดีความอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีผลคำตัดสินออกมาชัดเจน
ขณะที่ความนิยมชมชอบการเล่าข่าวของนายสรยุทธ ก็ยังมีประชาชนนิยมชมชอบอยู่มาก
ส่วนท่าทีของผู้บริหารช่อง 3 ในขณะนั้น ก็ออกมายืนยันชัดเจนว่า จะโอบอุ้มนายสรยุทธ ให้ทำหน้าที่พิธีกรต่อไป ส่วนเรื่องคดีความก็ระบุว่ารอให้มีคำตัดสินที่ชัดเจนก่อน แล้วจะมีการพิจารณาอีกครั้ง
กระแสอุ้ม 'สรยุทธ' จึงมีพลังเหนือกว่ากระแสเรื่องจริยธรรมสื่อมวลชน
แต่วันนี้รูปการณ์ผิดแปลก และแตกต่างไปจากเดิม เพราะเมื่อมีคำตัดสินของศาลออกมาชัดเจนแล้วว่า นายสรยุทธมีความผิดจริง
เหตุผลในการเรียกร้อง ของ นักวิชาการ และคนในวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ต้องการให้นายสรยุทธ ยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชน จึงมีน้ำหนักมากขึ้น
แต่เรื่องก็ทำท่าจะกลับวนไปเป็นแบบเดิม เพราะช่อง 3 ต้นสังกัดของ นายสรยุทธ ออกมาประกาศชัดเจนว่าจะโอบอุ้มนายสรยุทธ ให้ทำหน้าที่พิธีการรายการเล่าข่าวต่อไปตามเดิม
โดยมติที่ประชุมผู้บริหารช่อง 3 ในช่วงค่ำวันที่ 29 ก.พ.59 ได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน ที่จะสนับสนุนนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้ทำงานร่วมกับช่องต่อไป
พร้อมยกเหตุผลสนับสนุนว่า หลังร่วมงานกันมานานกว่า 12 ปี มั่นใจว่า รู้จักนายสรยุทธ ดีมากกว่าคนอื่น กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนร่วมงานกัน อีกทั้งคดียังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างการพิสูจน์ในชั้นศาล พร้อมย้ำว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. นายสรยุทธ ยังสามารถจัดรายการได้ในช่วงเวลาเหมือนเดิม
และประกาศกร้าวว่า นับจากนี้ช่อง 3 ต้องน้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป แต่มติบอร์ดขณะนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากสังคมคิดว่า สุดโต่งก็ต้องน้อมรับ เพราะที่ผ่านมาถือว่า ทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ยังเป็นไปตามปกติ
จากนั้นนายสรยุทธ ก็กลับมาทำหน้าที่พิธีกรรายการเล่าข่าว ในช่วงเช้ามืดวันที่ 1 มี.ค.2559 ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ดูเหมือนกลุ่มนักวิชาการ และคนในแวดวงวิชาชีพสื่อ จะไม่ยอมแพ้ต่อศึกครั้งนี้ และคำประกาศของช่อง 3 ยิ่งเป็นการเติ่มเชื่อไฟให้รุนแรงมากขึ้น
มหกรรมปลุกกระแสคลื่นจริยธรรม จึงขยายตัวเป็นวงกว้าง พร้อมกับเปลี่ยนเป้าหมายในการเรียกร้องใหม่ จากนายสรยุทธ พุ่งเป้าไปที่ช่อง 3 แทน และยกระดับการเคลื่อนไหวกดดัน ให้รุนแรงขึ้น
ขณะที่องค์กรสื่อ และภาคเอกชน ก็เริ่มออกมารับลูก เคลื่อนไหวแสดงท่าทีต่อกรณีนี้มากขึ้น ไม่หวั่นแม้กระทั่ง กสทช. ที่ออกมาประกาศว่าจะเชิญผู้บริหารช่อง 3 เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม มีการยืนยันข้อมูลว่า มีท่าทีของบุคคล 3 กลุ่ม ที่แสดงออกมาแล้ว ดูเหมือนจะสร้างความหนักใจให้กับผู้บริหารช่อง 3 และนายสรยุทธ เป็นอย่างมาก คือ
1. ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ข้อคิดกับขรก.ไม่ให้ไปออกรายการของนายสรยุทธ
ซึ่งแม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมายืนยันว่า ไม่เคยห้าม แต่การย้ำว่า ให้ข้าราชการไปพิจารณาเอาเองว่าควรหรือไม่ ถือเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างที่ชัดเจน
"สิ่งที่อยากให้ทบทวนและช่วยดูให้ผมด้วย ว่าทำไมถึงต้องออกมาพูดว่าให้ไปพิจารณาเอาเองว่าเหมาะสมหรือไม่ เหมาะสมอย่างไร เพราะวันนั้นหลังจากมีปัญหาปรากฏก็มีเทปสัมภาษณ์อธิบดีกรมสรรพกรออกมา ซึ่งเอามาออกทำไม เมื่อมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์เกิดขึ้นแล้วมีคำสั่งศาลออกมา ทำไมไม่เอาเทปอื่นมาออก แต่เทปนี้ซึ่งออกอากาศไปแล้วเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เอามาออกซ้ำ ทำให้สื่ออื่นออกมาโจมตี เอารูปอธิบดีไปออก ซึ่งอธิบดีรายงานผมว่าได้ให้สัมภาษณ์มา 2-3 สัปดาห์แล้ว ผมจึงสงสัยว่าจะเอามาออกช่วงนี้เพื่ออะไร ให้ไปถามช่อง 3 สิ เพื่อประโยชน์อะไรให้คนมาว่ารัฐบาลไม่สนใจ ทำให้มีการโจมตีรัฐบาลว่าที่เคยบอกให้ความสำคัญกับเพื่อการปราบปรามการทุจริต แล้วทำไมถึงให้อธิบดีไปออกรายการที่มีปัญหา ซึ่งเรื่องทุจริตผิดกฎหมายก็ไปว่ากันมา”
คำพูดประโยคนี้ ถือว่ามีนัยะ และมีผลต่อรายการของนายสรยุทธ และช่อง 3 เป็นอย่างมาก เพราะต้องไม่ลืมว่า งบประมาณโฆษณาจากหน่วยงานรัฐ ถือว่ามีความสำคัญต่อการทำรายการทีวีในเมืองไทย เป็นอย่างมาก
(อ่านประกอบ : ก่อน‘สรยุทธ’เอฟเฟกต์ ‘บีอีซี-ช่อง 3’คว้าโฆษณาหน่วยงานรัฐ 13 แห่ง 361 ล.)
2. ท่าทีของบริษัทเอกชน หลังเครือข่ายธุรกิจกว่า550บริษัทออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกพิจารณาการทำธุรกิจกับบริษัทและบุคคลที่มีส่วนร่วมกับการทุจริตคอร์รัปชัน ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษนายสรยุทธ
กรณีนี้ ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะเกี่ยวเนื่องกับ งบประมาณโฆษณาจากภาคเอกชน ซึ่งถ้าหากกระแสความเคลื่อนไหวส่วนนี้ จุดติดขึ้นมา ไม่เฉพาะรายการเล่าข่าวของนายสรุยทธ ที่จะมีปัญหา แต่จะกระทบไปยังรายการอื่น รวมถึงรายได้ของช่อง 3 ด้วย
3. ท่าที ของสื่อคู่แข่ง ที่ให้พื้นที่ในการนำเสนอข่าวเรื่องนายสรยุทธ อย่างเต็มที่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งกรณีนี้ ไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของช่อง 3 ในการทำธุรกิจทีวี ยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง
และทั้ง 3 ท่าที นี้ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่แท้จริง ที่ทำให้ นายสรยุทธ ออกมาประกาศยุติบทบาทหน้าจอ ในช่วงเย็นวันที่ 3 มี.ค.2559 เพราะมองเห็นว่าหากกระแสนี้ลุกลามออกไป ทั้งนายสรยุทธ และช่อง 3 อาจจะพังพินาศไปด้วยกันทั้งคู่ ชี้ให้เห็นว่าพลังแห่งทุนมีผลสำคัญมากกว่าประเด็นเรื่องของจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ใครหลายคนออกมาเรียกร้องให้แสดงออกให้รับผิดชอบ
เพราะมีข้อเท็จจริงประการหนึ่ง ที่คนในสังคมไทยอาจลืมไปแล้ว ก็คือ ณ วันนี้ นายสรยุทธ ไม่ใช่สื่อมวลชน เป็นนักธุรกิจที่ประกอบอาชีพสื่อมวลชน เขาลาออกจากการเป็นสมาชิกวิสามัญ 2 ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และมีผลทันทีตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ต.ค.55 ไปแล้ว
ในทางตรงกันข้าม ขณะที่การยุติการทำหน้าที่พิธีกร ของนายสรยุทธ ในครั้งนี้ ก็มิได้หมายความว่า นายสรยุทธ จะตัดขาดจากรายการทีวี หรือช่อง 3 เพราะสถานะปัจจุบันของนายสรยุทธ ก็ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัทไร่ส้ม ที่ทำธุรกิจจัดรายการเล่าข่าวกับช่อง 3 อยู่เหมือนเดิม
นายสรยุทธ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนบทบาท จากหน้าจอ มาทำงานรายการอยู่เบื้องหลังจอก็เท่านั้น
ขณะนี้รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากในทางธุรกิจ ชื่อยังขายได้อยู่ เพียงแค่หาตัวพิธีกรใหม่ ที่มีความสามารถในการเล่าข่าว ใกล้เคียงกับนายสรยุทธ มาทำหน้าที่แทน และเพิ่มความบันเทิง เพื่อดึงดูดคนดูให้มากขึ้น รายการก็จะเดินหน้าต่อไปได้ (เนื้อหารายการนี้ เน้นการเล่าข่าวและความบันเทิง) แถมการออกมาประกาศยุติบทบาทของนายสรยุทธ ยังจะได้คะแนนเห็นใจจากสังคมไทยเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ว่าไม่ยึดติดกับเรื่องธุรกิจ และผลประโยชน์อะไร
ส่วนเรตติ้ง รายการในช่วงเช้าก็จะเพิ่มขึ้น เพราะคนต้องมาคอยนั่งเฝ้าดูหน้าจอ ว่า สรยุทธ จะโผล่มาหรือไม่
และการที่ไม่ต้องรับผิดชอบงานอะไรที่หนักเหมือนเดิม ก็จะทำให้นายสรยุทธ ได้มีเวลาพักผ่อน ผ่อนคลายจิตใจ ไม่ต้องแบกรับกระแสกดดันอะไรเหมือนเดิม มีเวลาไปทุ่มเทในการต่อสู้คดีอีกสองศาลที่เหลืออยู่
และคงคิดว่าถ้าผลการตัดสินของศาลมีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นายสรยุทธ ก็จะมีโอกาสกลับมาอยู่หน้าจอใหม่ จะยิ่งโด่งดังมากกว่าเดิม
เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว พบว่าไม่มีอะไรเสียมากไปกว่านี้แล้ว การออกมาประกาศยุติบทบาทหน้าจอครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องรีบดำเนินการโดยทันที แบบที่เห็นและเป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นสำคัญประการหนึ่ง ที่สังคมไทยยังไม่ค่อยได้มีการพูดถึงอะไรกันมากนัก คือ กระบวนการจัดการทรัพย์สินปัจจุบันที่มีจำนวนหลายพันล้าน ของนายสรยุทธ (ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีข่าวปรากฎว่าถูกกรมสรรพากรตรวจสอบข้อมูลเรื่องภาษีอยู่ อ่านประกอบ : สอบภาษี บ.สรยุทธ-เครือแลนด์ฯ-แสนสิริ บิ๊กอสังหาฯ สรรพากรส่งหนังสือบี้อสมท.ด้วย)
ในกรณีที่การต่อสู้ 2 ศาลที่เหลืออยู่ ผลการตัดสินไม่เปลี่ยนแปลง และต้องรับโทษหนัก
นายสรยุทธ จะจัดการอย่างไร กับทรัพย์สิน และชีวิตของตนเองที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายในขณะนี้ ?
จะเดินซ้ำรอยเท้าเหมือนอดีตนักการเมืองในครอบครัวเจ้าของธรกิจสื่อใหญ่บางคน ที่เคยตัดสินใจทำมาแล้วหรือไม่?
แต่ที่รู้กันแน่ๆ ณ วันนี้ คือ นายสรยุทธ นักเล่าข่าวมือหนึ่ง ของประเทศ จะหายไปจากหน้าจอทีวี อีกนานแสนนาน
และ 'เรื่องเล่า ชีวิตการทำงานสื่อ ของ นายสรยุทธ จาก "จุดต่ำสุด สู่จุดสูงสุด และพุ่งสู่จุดต่ำสุดอีกครั้ง" จะเป็นสิ่งที่คนในแวดวงวิชาชีพสื่อมวลชน จะจดจำและเล่าขานเป็นอุทาหรณ์สอนใจ 'คนข่าวรุ่นใหม่' ที่จะก้าวเข้ามาทำงานในวงการนี้
กันต่อไปอีกนานแสนนานเช่นกัน
อ่านประกอบ:
จนกว่าจะพบกันใหม่ 'สรยุทธ' โพสต์ IG ยุติบทบาทการเป็นพิธีกรช่อง 3
เปรียบพ่อแม่กำกับลูก! ‘สุภิญญา’จี้ช่อง 3 พักงาน‘สรยุทธ’ชี้คดีสินบนเรื่องใหญ่
กสทช.เชิญผู้บริหาร ช่อง 3 เเจงปม 'สรยุทธ' 7 มี.ค. 59
มติช่อง 3 ไฟเขียว‘สรยุทธ’จัด‘เรื่องเล่าเช้านี้’ตามปกติ-ลั่นสู้คดีไร่ส้ม
อนุฯเนื้อหา กสทช.เชิญผู้บริหารช่อง 3 ถกปม‘สรยุทธ’หลังศาลสั่งคุก 13 ปี
คำพิพากษาทางการ! คดี‘สรยุทธ’โฆษณาเกินเวลา อสมท เสียหาย 138 ล.
‘สรยุทธ-พวก’วางเงินสด 2 ล.! ศาลปล่อยตัวชั่วคราวหลังคุก 13 ปี-ห้ามบินนอก
ไม่รอลงอาญา! ศาลสั่งจำคุก 'สรยุทธ-พวก' 13 ปี 4 เดือน คดีไร่ส้ม
ชัด ๆ คำพิพากษาศาล! คดี‘สรยุทธ-พวก’โฆษณาเกินเวลา 138 ล.
ช่อง 3 โยน บ.ไร่ส้ม ตัดสินใจ เปลี่ยนพิธีกร 'เรื่องเล่าเช้านี้'
ย้อนข้อมูล 10 ปี! คดี‘สรยุทธ-ไร่ส้ม’ก่อนศาลนัดอ่านคำพิพากษา