ทายาท"ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ"ถามหาความเป็นธรรม บิดาเผชิญชะตากรรมจำคุกตลอดชีวิต
หนึ่งในทายาทของ หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ อดีตหัวหน้าขบวนการพูโล เคยเปิดใจอย่างไม่เป็นทางการกับ "ทีมข่าวอิศรา" ก่อนหน้านี้ว่า เขาและครอบครัวคาดไว้อยู่แล้วว่าคดีของบิดาจะต้องจบลงที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเคยมีฝ่ายการเมืองแสดงตัวให้ความช่วยเหลือโดยอ้างเรื่องกระบวนการสันติภาพ
ปัจจุบันทายาทและคนในครอบครัวส่วนใหญ่ของหะยีดาโอ๊ะ พำนักอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนบ้านเดิมที่ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ก็ยังมีเครือญาติอาศัยอยู่บ้าง
สำหรับคดีที่เกี่ยวกับนายหะยีดาโอ๊ะและพวกรวม 5 คนนั้น ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาทั้งหมดแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นคำพิพากษาถึงที่สุด
ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำที่ ด.2722/2541 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หรือดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือดาโอะ มะเซ็ง อดีตหัวหน้าขบวนการพูโล อายุ 54 ปี จำเลยที่ 1 นายหะยีบือโด เบตง หรือนายบาบอแม เบตง หรือนายหะยี อาเซ็ม ประธานขบวนการพูโล อายุ 74 ปี จำเลยที่ 2 นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ สมาชิกขบวนการพูโล อายุ 63 ปี จำเลยที่ 3 นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือนายสะมะแอ สะอะ หรือหะยีอิสมาแอล กัดดาฟี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล อายุ 60 ปี จำเลยที่ 4 และนายยามี มะเซะ สมาชิกขบวนการพูโล อายุ 61 ปี จำเลยที่ 5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเป็นซ่องโจร
ทั้งนี้ อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 เม.ย.2541 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างปี 2511-2541 มีกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลามสมคบกันก่อตั้งองค์กรทางการเมืองชื่อ "องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี" หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนพูโล เพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย จ.ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และสงขลาบางส่วน เพื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเองโดยไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย ทั้งชักชวนให้สมาชิกนำญาติมิตรเข้าร่วมขบวนการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ฝึกวิชาทหาร และการสู้รบแบบกองโจร ก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการต่างๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ โรงแรม เผาอาคารสถานที่สำคัญ อาทิ โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งใช้อาวุธยิงข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ตลอดจนมีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองจากพ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของสวนยางพารา และบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่นๆ ทำให้ขบวนการพูโลมีเงินทุนซื้ออาวุธเพื่อก่อความวุ่นวายดังกล่าว ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-4 ให้การรับสารภาพ แต่กลับให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาของศาล
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2545 ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1, 2 และ 4 แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 และ 5 ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าร่วมกระทำผิด ให้ยกฟ้อง
ต่อมาวันที่ 15 พ.ย.2548 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในส่วนของจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ให้จำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์แก้โทษที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นให้ประหารชีวิต แต่คำให้การของจำเลยที่ 3 มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 50 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 อัยการไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุด ขณะที่จำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยานซึ่งเป็นน้องชายของพี่สะใภ้ของจำเลยที่ 2 รวมทั้งพยานอีกหลายปากซึ่งร่วมกันเป็นสมาชิกของขบวนการเบิกความว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มจำเลย ได้ถูกชักชวนให้ร่วมเป็นสมาชิก และเคยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิก เคยเห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 20 คนร่วมอยู่ด้วย โดยระบุว่าหากเป็นสมาชิกจะได้สิทธิพิเศษในประเทศมาเลเซีย และได้รางวัลตอบแทนเมื่อจำเลยที่ 1 และ 2 ได้สั่งให้ทำการก่อความวุ่นวาย ซึ่งพวกจำเลยจะทำจดหมายข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองและแบ่งแยกดินแดนไปวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ
ขณะที่พยานโจทก์ยังระบุว่า เมื่อร่วมเป็นสมาชิกแล้วระยะหนึ่ง ต่อมามีคนในขบวนการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จึงรู้สึกว่าขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้สมาชิกบางส่วนเข้ามอบตัวผ่านทาง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์)
ส่วนข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เริ่มขบวนการมาตั้งแต่ปี 2529 และได้เป็นหัวหน้าขบวนการที่ติดอาวุธอยู่ในป่า จ.ยะลา ซึ่งภายหลังได้มีการแต่งตั้งสมาชิกคนอื่นให้เป็นหัวหน้าควบคุมแทน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าขบวนการพูโลใหม่ และภายหลังจากที่กลุ่มขบวนการพูโลไม่สามารถต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ได้ จึงเดินทางไปกลับมาเลเซีย ซึ่งมีพยานโจทก์เดินทางไปรับจ้างกรีดยางที่มาเลเซียได้เบิกความถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นและการถูกชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก
แม้ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของโจทก์บางปากจะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อรับฟังร่วมกับพยานแวดล้อมต่างๆ มีรายละเอียดเชื่อมโยงสอดคล้อง จึงสามารถรับฟังได้ ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งร่วมขบวนการก็ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จำเลยที่ 1-4 จะถูกจับกุมในคดีนี้เป็นเวลานานหลายปี พยานโจทก์จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัย
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกาอ้างว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจ แต่ถูกกดดัน ขู่เข็ญจากเจ้าพนักงาน เห็นว่าในชั้นสอบสวนได้มีการบันทึกวีดีทัศน์จำเลยที่ 1 ขณะแสดงวิธีการประกอบระเบิดโดยไม่แสดงท่าทีถูกกดดัน ขณะที่คำให้การของพยานนำมาประกอบรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาที่ประเทศซีเรียและได้รับการสอนวิธีการทำระเบิด ประกอบกับการออกคำแถลงของพวกจำเลยภายหลังถูกจับกุมมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และรองอธิบดีกรมตำรวจ รวมทั้งพนักงานสอบสวนร่วมอยู่ด้วย จึงไม่น่าเชื่อว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะกลั่นแกล้ง ขณะที่การสอบสวนดำเนินการเป็นคณะ จึงยากที่จะปรุงแต่งรายละเอียด ฎีกาของจำเลยที่ 1-4 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบา เห็นว่าคดีนี้เป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1-4 ได้ดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ วางระเบิดสถานที่ต่างๆ และยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แม้ว่าพวกจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงเห็นได้ว่าพวกจำเลยไม่สำนึกในการกระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาโทษนั้นเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ เป็นการอ่านให้นายอับดุลเราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ จำเลยที่ 3 ฟัง ส่วนนายหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ จำเลยที่ 1 นายหะยีบือโด เบตง จำเลยที่ 2 และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ จำเลยที่ 4 ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลา ได้อ่านคำพิพากษาไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2554 ที่ศาลจังหวัดสงขลา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ :
1 ข่าวเฉพาะส่วนที่เป็นคำพิพากษา จากสำนักข่าวเนชั่น
2 ภาพประกอบต้นฉบับจากศูนย์ภาพเนชั่น เมื่อครั้งจำเลยเข้ารับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อปี 2548
หมายเหตุ : ภาพผ่านการปรับแต่งโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา